Infinix ไทยได้เปิดตัว Infinix NOTE 40 Series ที่ประกอบไปด้วย Infinix NOTE 40Pro+ 5G และ NOTE 40 Pro ที่มาพร้อมกับจุดเด่นที่ระบบการชาร์จแบบ ‘AllRound FastCharge 2.0’ ที่สามารถชาร์จได้ไวสุดที่ 100W และสามารถชาร์จแบตเตอรี่แบบไร้สายได้ด้วย ในราคาเริ่มต้น 8,999 บาท
โดยทั้ง 2 รุ่นนี้ ทาง Infinix ได้ใช้ชิป Cheetah X1 ชิป AI ที่ Infinix พัฒนาขึ้นเอง เพื่อใช้ในการจัดการพลังงานโดยเฉพาะเลย โดยนอกจากเรื่องการจัดการพลังงานแล้ว ยังใช้ในโหมดชาร์จเร็วทั้ง 3 โหมด ประกอบไปด้วย การชาร์จอัจฉริยะ การชาร์จไฮเปอร์ และการชาร์จในอุณหภูมิต่ำ นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ Bypass Charging 2.0 ที่ช่วยกรองกระแสไฟและจ่ายไฟโดยตรงไปยังเมนบอร์ดระหว่างการเล่นเกมหรือดูวิดีโอ เพื่อช่วยป้องกันความร้อนไม่ให้สูงเกินไป และยังป้องกันการชาร์จด้วย AI ที่ชาร์จรักษาระดับแบตเตอรี่ขณะนอนหลับ ไปจนถึงฟังก์ชัน Reverse Charging ที่ช่วยให้สามารถแชร์พลังงานกับอุปกรณ์อื่น ๆ แบบมีสายหรือไร้สายด้วยความเร็วสูงสุด 10W และทั้งสองรุ่นยังมาพร้อมกับ Infinix MagKit ประกอบด้วยเคสโทรศัพท์ MagCase และแผ่นชาร์จแบบแม่เหล็ก MagPad เพื่อประสบการณ์การชาร์จไร้สายด้วยรูปแบบแม่เหล็กที่สะดวกสบาย ที่แถมให้มาในกล่องเลยด้วย

โดยทั้ง 2 รุ่นนี้จะต่างกันที่สเปกภายในเป็นหลัก โดย Infinix NOTE 40Pro+ 5G จะได้ระบบการชาร์จเร็วสูงสุดที่ 100W ซึ่งทาง Infinix เคลมว่าสามารถชาร์จได้ 50% ภายใน 8 นาที มาพร้อมชิปเซต MediaTek Dimensity 7020 5G, ROM 256 GB และ RAM 12 GB และใช้ Extended RAM มารวมกันได้สูงสุด 24GB ด้วย โดยวางจำหน่ายในสี Obsidian Black (ดำ) และ Vintage Green (เขียว)

ในขณะที่ Infinix NOTE 40 Pro จะใช้ชิปประมวลผล MediaTek Helio G99 Ultimate มี ROM 256 GB และ RAM 8/12 GB และรองรับการชาร์จเร็วได้สูงสุดที่ 70W กับแบตเตอรี่ความจุ 5000 มิลลิแอมป์ และวางจำหน่าย 2 สีเช่นกัน ในสี Titan Gold (ทอง) และ Vintage Green (เขียว)

โดยทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับกล้องถ่ายภาพหลัก 108MP กับระบบกันสั่น OIS (สามารถซูมแบบครอปเลนส์แบบไม่เสียรายละเอียดมากนักได้ 3 เท่า) และเลนส์กล้องมาโครความละเอียด 2MP และ Depth Sensor 2MP กับกล้องหน้าความละเอียด 32MP หน้าจอ AMOLED 120Hz ดีไซน์โค้ง 55 องศากับวัสดุกระจกจาก Corning Gorilla Glass 5 ความละเอียด 1080P พร้อมกับลำโพงคู่ที่ได้ผ่านการจูนเสียงมาโดย JBL และมีฟีเจอร์ไฟ Active Halo ที่ใช้ AI เข้ามาประกอบการแสดงไฟหลังเครื่อง ให้ขึ้นตามสถานการณ์ที่แตกต่างกัน เช่น การรับสาย การแจ้งเตือน การเล่นเกมหรือฟังเพลง การชาร์จแบตเตอรี่ หรือการใช้ Assistant ของตัวเองอย่าง Folax ที่ใช้ ChatGPT มาช่วยประมวลผลและตอบคำถาม และมาพร้อมซอฟต์แวร์ XOS 14 บนพื้นฐาน Android 14 ที่การันตีอัปเดตแอนดรอยด์ 2 ปี




โดย BT ได้มีรีวิวของ Infinix NOTE 40 Pro+ 5G ให้ได้ชมกันด้วย
ทั้งนี้ Infinix NOTE 40Pro+ 5G เปิดราคาวางจำหน่ายในไทยอยู่ที่ 11,999 บาท โดยในช่วงแรกที่ซื้อจะได้ของแถมเป็น Premium Gift Box มูลค่า 1,599 บาท รวมมูลค่าของแถมสูงสุด 3,198 บาท และ รุ่น Infinix NOTE 40 Pro วางจำหน่ายที่ราคา 8,999 บาท โดยมีจำหน่ายเฉพาะช่องทางออนไลน์เท่านั้น

ใครที่สนใจสามารถตามไปซื้อกันได้ที่ Shopee Mall, Laz Mall และ TikTok Shop และร้านค้าชั้นนำที่ BaNANA, Jaymart, IT City, TG FONE สาขาที่ร่วมรายการ โดย Infinix NOTE 40 Pro จะสามารถซื้อได้เฉพาะทาง Shopee, Lazada และ TikTok Shop เท่านั้น