บริษัท ยูโร ครีเอชั่นส์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำด้านเฟอร์นิเจอร์และของตกแต่งจากแบรนด์ luxury ระดับโลก เปิดตัวแบรนด์ใหม่ในเครืออย่าง Haworth แบรนด์ Workspace Solution ออฟฟิศเฟอร์นิเจอร์จากประเทศอเมริกา ที่มุ่งมั่นนำเสนอ Solution สำหรับพื้นที่ทำงานด้วยเทคโนโลยี AI พร้อมความหลากหลายของเฟอร์นิเจอร์ แต่ยังไม่ลืมที่จะคำนึงถึงความยั่งยืนผ่านแนวคิด “Recycle-Reuse-Rethink” โดยนักออกแบบระดับโลก

แบรนด์ Haworth อยู่ภายใต้ Haworth Group ในวงการเฟอร์นิเจอร์มานานกว่า 75 ปี และมียอดขายกว่า 2,570 ล้านเหรียญฯ ในปี 2023 ซึ่งเป็นผู้นำกลุ่มตลาดออฟฟิศเฟอร์นิเจอร์ที่ให้ความสำคัญเรื่องความยั่งยืน เพื่อสร้าง Sustainable Office Furniture ผ่านแนวคิดสำคัญ ทั้งการ Recycle วัสดุพลาสติก รวมถึงโลหะกลับมาใช้ผลิตเฟอร์นิเจอร์อีกครั้ง การ Reuse ใช้ซ้ำ การันตีคุณภาพการผลิตตลอดการใช้งาน ไปจนถึง Rethink ที่คำนึงถึงการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมตั้งแต่กระบวนการออกแบบ การผลิต การใช้งาน ไปจนถึงสิ้นอายุ

นายอานันท์ อมรรัตนเวช รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายธุรกิจเฟอร์นิเจอร์และสินค้าตกแต่งสำนักงาน

ในงานนี้ไม่ใช่แค่การเปิดตัวแบรนด์ใหม่ในเครือของ Euro Creations เท่านั้น แต่ยังเชิญสปีกเกอร์ทั้ง 4 คนมานำเสนอมุมมองโซลูชันของออฟฟิศในอนาคต ที่ปรับเปลี่ยนตลอดเวลา พร้อมทั้งการมาของเทคโนโลยี AI ที่เปลี่ยนวิธีคิดและการทำงานไปอย่างสิ้นเชิง

นำโดยณัฐนี วิโรจน์โภคา จาก ONE BANGKOK ที่เป็นต้นแบบออฟฟิศแห่งอนาคตอย่างดี ทั้งการปรับตัวต่อสภาพอากาศ และสิ่งแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงในปัจจุบัน ทำให้สำนักงานหรือออฟฟิศต้องปรับตัวตาม ยกตัวอย่าง การออกแบบการเดิน (เมืองเดินได้ 15 นาที) เมื่อเมืองน่าเดินขึ้น มี Open Space และ Art Space ทำให้คนรู้สึกอยากเดินมากขึ้น การใช้รถก็ลดลง ตามมาด้วยการลดมลพิษที่น้อยลงไปด้วย

นอกจากนี้ยังได้ยกตัวอย่าง การออกแบบอาคารต้องมีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยลดความร้อนที่เข้ามาในอาคาร เครื่องปรับอากาศก็ทำงานได้น้อยลง รวมถึงการใช้เซนเซอร์และ AI มาช่วยตรวจจับการทำงานภายในอาคาร หรือการใช้ IOT ติดตามการใช้พลังงาน ระบบน้ำและระบบไฟ เพื่อลดการใช้พลังงานให้ได้มากที่สุด และข้อมูลทุกอย่างที่บันทึกต้องนำไปวิเคราะห์ต่อ ประมวลผลร่วมกับข้อมูลภายนอก เพื่อพัฒนาอาคารให้ตอบโจทย์กับผู้อยู่อาศัยที่สุด

พี่หนุ่ย พงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ ตัวแทนจาก bt ก็ได้ขึ้นพูดในเรื่อง Resilience Skill ทักษะการยืดหยุ่น (โดยเฉพาะตรงจิตใจ) ทำให้การทำงานปรับตัวได้ แม้ในภาวะวิกฤตโควิด-19 ซึ่งในบทบาทของ bt มีส่วนในการใช้เทคโนโลยี AI มาช่วยขยายการทำงานมากขึ้น ทั้งการช่วยสรุปใจความสำคัญ การทำพรีเซนต์ การแปลตัวหนังสือไปสู่ภาพเคลื่อนไหว ตัวอย่างของ AI ในปัจจุบันก็มีมากมาย ทั้งชื่อที่เราคุ้นเคยกัน ไม่ว่าจะเป็น ChatGPT, OpenAI หรือ bing ซึ่งเทคโนโลยี AI เหล่านี้จะมาช่วยให้การทำงานง่ายขึ้น และปรับตัวให้เข้ากับการทำงานในยุคอนาคต เพื่อตอบรับ Resilience Skill ได้เป็นอย่างดี

ทางด้านซีเค เจิง จาก Fastwork ในฐานะแพลตฟอร์มจัดหางาน ที่มีสมาชิกมากกว่า 3 ล้านคนใน 2 ประเทศคือ ไทยและอินโดนีเซีย (กำลังจะเปิดตัวในเวียดนามด้วย) โดยซีเคมองว่า จะมีธุรกิจที่ดีได้ ต้องมีคนเก่ง (Leadership) ในองค์กร และผู้นำที่เก่งจะพาองค์กรให้ไปรอดได้ ผู้นำที่ดีควรจะรับฟังคนอื่น และพูดเป็นคนสุดท้าย ซึ่งเป็นการเปิดรับไอเดียใหม่ ๆ จากคนอื่น รวมถึงเปิดโอกาสให้ทุกคนมีสิทธิในการแสดงความคิดเห็นด้วย ธุรกิจ Fastwork จะเป็นช่องทางหนึ่งที่พาไปเจอคนเก่งที่อาจไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง และยังช่วยกระจายเงินออกไปนอกเมืองหลวงมากขึ้นด้วย

สุดท้าย อเล็กซานโดร เซซานา ตัวแทนจาก Haworth มาพูดถึงเทรนด์ของการทำงานในปัจจุบันและอนาคตที่กำลังจะเปลี่ยนแปลงไป โดนมีสถิติระบุว่าการทำงานคนเดียว (Individual work) ลดลงจากในอดีตประมาณ 63% เหลือเพียง 31% แต่กลับเพิ่มการทำงานเป็นองค์กรมากขึ้น จากเดิม 21% ไปสู่ 38% และโซเชียลมีเดีย จากเดิม 16% ไปสู่ 31%

เขายังแนะนำออฟฟิศในยุคใหม่ต้องมีคอมมิวนิตีที่แข็งแรง อุปกรณ์นั่งทำงานที่ตอบโจทย์ (อย่างเก้าอี้ Haworth) แหล่งของกินที่ครบเครื่อง และที่สำคัญคือการทำงานแบบไฮบริด ที่เทรนด์ในการเข้าออฟฟิศทุกวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว สถิติระบุว่าคนต้องการเข้าทำงานเพียงแค่ 3 วันต่อสัปดาห์ มากขึ้น 43% ในขณะที่ทำงาน 5 วันต่อสัปดาห์เหลือเพียง 27% และทิ้งท้ายสวย ๆ ไว้ว่า คนที่อยู่รอดอาจไม่ใช่มนุษย์สายพันธุ์ที่แข็งแรงที่สุด หรือเทคโนโลยีฉลาดสุดที่สุดจะอยู่รอด แต่เป็นคนที่ปรับตัวได้ดีที่สุดต่างหาก ซึ่งหากจะพูดถึงเก้าอี้ทำงานที่ปรับเปลี่ยนได้ตามสรีระร่างกาย ต้องเก้าอี้ Haworth นี่ไงล่ะครับ