ที่ผ่านมาเราจะเห็นกระแส AI บูมมาก ตั้งแต่การมาของ ChatGPT ตามด้วยบริษัทยักษ์ใหญ่อย่าง Google, Microsoft และ Samsung ที่เปิดตัว Galaxy AI บน Galaxy S24 ชูจุดเด่นการใช้งาน AI บนสมาร์ตโฟน ทำเอา Apple ดูจืดไปเลยทีเดียว แต่เพราะวัฒนธรรมการทำงานของ Apple นี่เองที่ทำให้บริษัทไปได้ไม่ถึงไหน
Apple เป็นบริษัทแรก ๆ ที่เปิดตัว Siri หรือผู้ช่วยอัจฉริยะสมัยสก็อต ฟอร์สตอล (Scott Forstall) บน iPhone 4s ตั้งแต่ปี 2011 หรือ 13 ปีมาแล้ว แต่ทุกวันนี้ก็ยังดูไม่ฉลาดเท่าที่ควร จนกระทั่ง Apple ได้ตัวจอห์น เจียนนันเดรีย (John Giannandre) จาก Google มาเมื่อปี 2018 บริษัทก็ตั้งเป้าที่จะเป็นบริษัทหลักในตลาดนี้ด้วย

เจียนนันเดรียได้เข้ามาเป็นหัวหอกทีมพัฒนา AI เพื่อพัฒนา Siri ให้เก่งขึ้น แต่ข้อจำกัดมีค่อนข้างมาก ทีมนี้ถูกสร้างขึ้นโดยมีอดีตพนักงานของ Google และ Apple รวมกัน ทำให้ทีมของ Google ใช้เวลาปรับตัวเข้ากับความเป็น Apple อย่างยากลำบาก
Apple ให้ความสำคัญกับกำหนดการและเดดไลน์ในการส่งงานอย่างเคร่งครัด แต่ทีมของเจียนนันเดรียยังใช้แนวทางของ Google คือหลวม ๆ เรื่องกำหนดการ ทำให้เกิดการปะทะกันภายในทีมเอง บางทีมของ Apple ถึงกับเลิกสนใจทีมของเจียนนันเดรีย และดำเนินหน้าพัฒนา AI ของตัวเองไป อดีตพนักงานของ Apple บอกกับ The Wall Street Journal หรือ WSJ ว่า เคร็ก เฟเดริกิ (Craig Federighi) หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์ของ Apple สั่งให้พนักงานในทีมพัฒนาความสามารถด้าน AI ของตนเองในการจดจำรูปภาพและวิดีโอไปโดยไม่ได้ร่วมมือกับทีม AI ของบริษัท
นอกจากปัญหาด้านวัฒนธรรมในการทำงานแล้ว ปัญหาเรื่องชิป AI ก็มีไม่เพียงพอเช่นกัน การขาดแคลนชิป AI ในการประมวลผลส่งผลให้ความพยายามด้าน AI ของ Apple มาถึงทางตัน WSJ รายงานว่า ทีมของเจียนนันเดรียได้หันมาใช้บริการคลาวด์ภายนอก เช่น Google เพื่อฝึกอบรมโมเดล AI ของตนแทน อีกทั้งยังมีประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวที่สร้างข้อจำกัดในการพัฒนา AI ด้วยเช่นเดียวกัน