เดวิด คาห์น (David Cahn) นักวิเคราะห์ของ Sequoia Capital ได้เขียนบทความให้ชวนคิดว่า ปัจจุบันมูลค่าคำถามของ AI เพิ่มขึ้นเป็น 3 เท่าอยู่ที่ 600,000 ล้านเหรียญ (21.96 ล้านล้านบาท) และทำให้ฉุกคิด หรือว่านี่คือสัญญาณที่บ่งบอกว่ากำลังถึงจุดฟองสบู่ของ AI
เดือนกันยายน 2023 คาห์นได้เริ่มเขียนบทความถึงประเด็นนี้ว่า คำถามของ AI ที่เราใช้บริการอยู่ทั่วโลกนั้นมีมูลค่าสูงถึง 200,000 ล้านเหรียญ (7 ล้านล้านบาท) ซึ่งดู ๆ แล้วต้นทุนในการประมวลผลคำถามของ AI นั้นสูงมาก แต่ไม่รู้รายได้ทั้งหมดอยู่ที่ไหน ที่แน่ ๆ หลุมใหญ่คือช่องว่างระหว่างรายได้และเงินที่ลงทุนไปสูงถึง 125,000 ล้านเหรียญ (4.5 ล้านล้านบาท)
ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา ความสำเร็จของ AI ได้ทำให้ Nvidia ก้าวขึ้นสู่บริษัทที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก (ตามมูลค่าของหุ้น) และจากข้อมูลคาดการณ์อัตราการดำเนินการของรายได้สิ้นปี 2024 ของ Nvidia สูงถึง 150,000 ล้านเหรียญ (5.49 ล้านล้านบาท) หากเรานำมาคูณด้วย 2 ก็จะได้ตัวเลขสะท้อนถึงต้นทุนรวมของศูนย์ข้อมูล AI อยู่ที่ 300,000 ล้านเหรียญ (10.98 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นต้นทุนครึ่งหนึ่งต่อการประมวลผลคำถามของ AI ส่วนอีกครึ่งจะเป็นค่าอาคารสถานที่ ค่าไฟและอื่น ๆ ดังนั้นต้องคูณด้วย 2 อีกครั้งก็จะได้
ต้นทุนในการประมวลผลคำถาม AI ทั้งหมดเป็น 600,000 ล้านเหรียญ หรือต้องได้รายได้มากกว่า 22 ล้านล้านบาท ถึงจะกำไร
คาห์นตั้งข้อสังเกตว่าจากเดือนกันยายนจนถึงตอนนี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงในตลาด AI มากมาย ได้แก่ ปัญหาการขาดแคลนชิปลดลงสามารถสั่งซื้อได้ค่อนข้างง่ายขึ้น, การสต๊อกชิป GPU กำลังเพิ่มขึ้น และจะกลับมาปกติเมื่อสต๊อกมีมากจนความต้องการลดลง, OpenAI ยังคงมีส่วนแบ่งรายได้จาก AI มากที่สุด ซึ่งจะต้องลงทุนพัฒนา AI มากขึ้นเพื่อเอาใจผู้ใช้, ช่องว่างระหว่างรายได้และเงินที่ลงทุนสำหรับการประมวลผล AI จะกลายเป็น 500,000 ล้านเหรียญ (18.31 ล้านล้านบาท) และชิป B100 กำลังมา ซึ่งจะทำให้เข้าสู่การขาดแคลนชิปอีกครั้ง เพราะทุกคนจะแย่งกันเอามาใช้งาน
คาห์นคิดว่า CapEx หรือรายจ่ายเกี่ยวกับ GPU จะต้องทุ่มเงินลงทุนในการสร้างระบบนิเวศ เพื่อเก็บเกี่ยวผลที่จะมาถึงในอนาคต แต่ก็มีบางจุดที่ผิดพลาด เช่น ขาดอำนาจในการกำหนดราคา เพราะศูนย์ข้อมูลที่เน้นประมวลผลด้วย GPU จะมีการให้บริการมากขึ้นจนท่วมตลาด, การเผาเงินทุน เพราะจะมีผู้คนจำนวนมากขาดทุนกับการเก็งกำไรในคลื่นเทคโนโลยี, ค่าเสื่อมราคา เห็นชัดว่าชิป GPU รุ่นใหม่ออกมาดีขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นซื้อชิปได้ไม่กี่ปีรุ่นใหม่ก็ออกมา แล้วชิปรุ่นเก่าเสื่อมราคาทันที
และสุดท้าย ใครแพ้หรือชนะ มองว่าเป็นผลดีต่อสตาร์ตอัปเพราะราคาในการประมวลผล GPU ลดลง ส่วนบริษัทสร้าง AI และเทคโนโลยีจะได้ประโยชน์ในเรื่องต้นทุนที่ลดลง แต่จะส่งผลเสียต่อนักลงทุนเป็นหลัก หากพวกเขาลงทุนอย่างบ้าคลั่ง