วันเสาร์ที่ 21 กันยายน ซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) ซีอีโอของ Google ได้กล่าวขณะไปร่วมในการประชุมสุดยอดอนาคตของสหประชาชาติ (UN Summit of the Future) ว่า AI เป็นเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงโลกมากที่สุด พร้อมประกาศจัดตั้ง Global AI Opportunity Fund ซึ่งเป็นกองทุนเพื่อการศึกษาและฝึกอบรมในด้าน AI ให้กับชุมชนทั่วโลก ด้วยมูลค่า 120 ล้านเหรียญ (3,950 ล้านบาท) โดยจะทำงานร่วมกับองค์กรไม่แสวงหากำไรและองค์กรพัฒนาเอกชน (NGOs) ในท้องถิ่น

พิชัยได้เผยถึงประโยชน์ที่สำคัญของ AI 4 ประการ ที่ควรมีการพัฒนาให้เกิดความยั่งยืน ได้แก่ การช่วยให้ผู้คนเข้าถึงข้อมูลในภาษาของตนเอง การเร่งการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ การแจ้งเตือนและการติดตามเกี่ยวกับภัยพิบัติทางสภาพอากาศ และการส่งเสริมความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ

นอกจากข้อดีแล้ว เขายังบอกว่า AI ก็มีข้อเสีย เช่น ดีปเฟก (Deep Fake) ซึ่งเป็นการใช้ AI สร้างรูปภาพ วิดีโอหรือเสียงเลียนแบบบุคคลออกมาเป็นเนื้อหาปลอม แต่ก็น่าเสียดายที่เขาไม่ได้พูดถึงการใช้พลังงานไฟฟ้าปริมาณมากสำหรับการประมวลผลข้อมูลของดาตาเซนเตอร์ ซึ่งการผลิตไฟฟ้าด้วยเชื้อเพลิงฟอสซิลจะปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และมีผลกระทบต่อสภาพอากาศเพิ่มขึ้น

พิชัยกล่าวเสริมว่าเขาไม่อยากให้เกิดความเหลื่อมล้ำด้าน AI ทั่วโลก ซึ่งหมายถึงการเข้าถึงและการขาดความรู้ความเข้าใจที่จะนำ AI ไปใช้ประโยชน์ จึงได้ประกาศจัดตั้ง Global AI Opportunity Fund นอกจากนี้ได้เรียกร้องเกี่ยวกับการกำกับดูแลผลิตภัณฑ์อัจฉริยะที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อช่วยบรรเทาอันตรายที่จะเกิดขึ้น และการต้านแรงกระตุ้นของนโยบายคุ้มครองการค้าของชาติ เนื่องจากมองว่าการกำกับดูแลของหน่วยงานรัฐจะจำกัดประโยชน์ของ AI และขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำด้าน AI

แรงกระตุ้นของนโยบายคุ้มครองทางการค้า เป็นนโยบายที่มุ่งจำกัดการค้าและการลงทุนเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศ ซึ่งอาจมีคำสั่งจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีและฮาร์ดแวร์ด้าน AI จำกัดความร่วมมือด้านการวิจัยและแบ่งปันข้อมูล รวมทั้งการย้ายถิ่นฐานบุคลากรและการลงทุนจากต่างประเทศ จึงส่งผลให้ประเทศที่ขาดโครงสร้างพื้นฐาน เทคโนโลยีและทรัพยากรเข้าถึง AI ได้ยากขึ้น ซึ่งจะขยายช่องว่างความเหลื่อมล้ำด้าน AI มากยิ่งขึ้น