Microsoft เปิดตัวฟีเจอร์ AI ใหม่ใน Copilot+ PC อย่างเช่น Generative Fill และ Generative Erase ที่ใช้ได้ในโปรแกรม Paint พร้อมกับฟีเจอร์ใหม่ ๆ อีกมากมายที่ใช้ใน Copilot+ PC และระบบปฏิบัติการ Windows 11 เวอร์ชันใหม่

หลังจากที่เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา Microsoft ได้เปิดตัว Copilot+ PC มาตรฐานใหม่ของคอมพิวเตอร์ยุค AI ที่ Microsoft ได้เปิดตัวเพื่อให้สามารถใช้ AI แบบประมวลผลภายในเครื่องให้กับคนที่ใช้งาน Windows 11 Microsoft ก็ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามาใน Windows 11 24H2 ซึ่งเน้นอัปเดตฟีเจอร์ใหม่ ๆ ใน Copilot+ PC ใน Windows 11 โดยเฉพาะเลย

Generative Fill และ Generative Erase ใน Paint

ฟีเจอร์แรกคือฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามาในโปรแกรมวาดรูปติดเครื่องอย่าง Paint ที่นอกจากจะมีฟีเจอร์การแปลภาพที่วาดไว้ให้เป็นภาพที่ผ่านการเจนด้วย AI แล้ว ยังได้เพิ่มฟีเจอร์ Generative Fill และ Generative Erase ที่จะทำให้สามารถแก้ไขและเปลี่ยนแปลงรูปภาพได้อย่างมีอิสระและสร้างสรรค์ได้มากขึ้น โดยใช้แปรงที่ปรับขนาดได้ สามารถลบจุดที่ไม่ต้องการ หรือรบกวนสายตาในรูปภาพ หรือเพิ่มวัตถุใหม่ได้ตรงจุดที่ต้องการ โดย Microsoft บอกว่าฟีเจอร์นี้ได้ใช้ diffusion-based model ที่พัฒนามาใหม่ในการประมวลผล เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้นและเร็วขึ้นด้วย

Generative Fill ใน Paint

เพิ่มความคมชัดของรูปภาพใน Photos ด้วย ‘Super Resolution’

นอกจากจะแต่งภาพใน Paint ได้แล้ว ยังสามารถแต่งภาพ โดยเพิ่มความคมชัดของภาพได้ในโปรแกรม Photos ซึ่งเป็นโปรแกรมเปิดภาพที่เป็นพื้นฐานของ Windows เอง ซึ่งฟีเจอร์ Super Resolution ใน Photos จะเปลี่ยนรูปภาพเก่าหรือความละเอียดต่ำ ให้ชัดขึ้นกว่าเดิม โดยเลือกปรับเพิ่มความละเอียดได้สูงสุดที่ 8 เท่า และปรับแต่งรูปภาพได้ตามที่เราต้องการในโปรแกรมเดียว ผ่านการประมวลผล AI ภายในเครื่องที่ผ่าน Copilot+ PC ที่ต้องประมวลผล AI ให้ได้ 40 TOPs ขึ้นไป ซึ่งจะทำให้ภาพความละเอียดขึ้นไปได้สูงสุดที่ระดับ 4K ภายในเวลาสั้น ๆ และสามารถทำได้ฟรี โดยไม่ต้องผ่านโปรแกรมบุคคลที่ 3 แล้วด้วย

ฟีเจอร์ Recall ที่ปลอดภัยกว่าเดิม (Preview)

ต่อด้วยฟีเจอร์ที่ Microsoft ได้เปิดตัวไว้แต่แรกในตอนที่เปิดตัว Copilot+ PC ในช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาอย่าง Recall ก็เตรียมจะเปิดให้ใช้งานแล้วในเวอร์ชันใหม่นี้ โดยฟีเจอร์ Recall จะทำให้ค้นหาข้อมูลบนคอมพิวเตอร์ได้อย่างรวดเร็ว ค้นหาสิ่งที่เคยเปิดหรือเคยใช้งานมา โดยก่อนหน้านี้ได้มีประเด็นเรื่องของความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวที่เกิดจาก Windows จะถ่ายภาพหน้าจอไว้ตลอดเวลา ทำให้ในเวอร์ชันใหม่นี้ Microsoft เลยได้ปรับปรุงฟีเจอร์ Recall นี้ให้ปลอดภัยขึ้น โดยสามารถเลือกได้ว่าจะให้บันทึกภาพหน้าจอหรือไม่ หากเลือกให้บันทึก จะต้องเปิด Windows Hello เพื่อยืนยันตัวตนก่อนใช้งาน นอกจากนี้ Recall ยังมีระบบกรองข้อมูลสำคัญ เช่น หมายเลขบัตรเครดิตหรือเลขประจำตัวประชาชน เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนตัว ไม่ให้ข้อมูลหลุดได้โดยง่ายด้วย โดยเรื่องนี้ Microsoft ได้มีการอธิบายเพิ่มเติมผ่านหน้าเว็บไซต์ของ Microsoft อีกด้วย

โดยฟีเจอร์นี้จะเปิดให้ลองใช้ช่วงเดือนตุลาคมสำหรับคนใช้ Windows Insider และมีคอมพิวเตอร์ Copilot+ ที่ใช้ชิป Qualcomm ตามด้วยเดือนพฤศจิกายนสำหรับผู้ใช้งาน Windows Insider ที่มีคอมพิวเตอร์ Copilot+ ที่ใช้ชิป Intel หรือ AMD ต่อมา และจะเปิดให้ใช้งานได้จริงภายหลัง

คลิกแล้วทำงานได้มากกว่าเดิมด้วย Click to Do

Click to Do เป็นฟีเจอร์ใหม่ที่ Microsoft ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ทำงานบนคอมพิวเตอร์ได้สะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยจะแสดงผลตัวเลือกการทำงานต่าง ๆ (Interactive Overlay) ขึ้นมาบนหน้าจอทันทีที่ต้องการใช้งาน ไม่ว่าจะกับรูปภาพหรือข้อความ เช่น ค้นหารูปภาพด้วย Bing, แก้ไขรูปภาพโดยเบลอพื้นหลังหรือลบวัตถุที่ไม่ต้องการ, ลบพื้นหลังของรูปภาพด้วย Paint ไปจนถึงการจัดการกับข้อความ เช่น เขียนใหม่ สรุป หรืออธิบายข้อความ ก็สามารถกดได้ในที่เดียวเลย

วิธีใช้งาน Click to Do ทำได้ด้วยการกดปุ่ม Windows และคลิกเมาส์ ก็จะเห็นตัวเลือก Click to Do ในเครื่องมือ Snipping Tool หรือ Print Screen นอกจากนี้ ยังสามารถใช้งาน Click to Do เพื่อเปิดโปรแกรมแก้ไขข้อความ ส่งอีเมล หรือเปิดเว็บไซต์ (ที่มี URL ที่เชื่อถือได้) ได้ทันทีอีกด้วย นอกจากนี้ Microsoft ยังมีแผนที่จะเพิ่มความสามารถใหม่ ๆ ให้กับฟีเจอร์ Click to Do ในอนาคต เพื่อให้การทำงานสะดวกและรวดเร็วมากขึ้นในอนาคตด้วย

Copilot ที่ปรับดีไซน์ใหม่ให้ใช้งานง่ายขึ้น

Coipilot ซึ่งเป็นฟีเจอร์ AI ChatBot ที่เราสามารถพิมพ์เพื่อพูดคุยกับ Copilot ได้โดยตรงนั้น ได้มีการอัปเดต UI ใหม่ เพื่อให้สามารถใช้งานได้ง่ายขึ้นและสะดวกสบายมากขึ้นกว่าเดิมแล้ว

โดย Microsoft ได้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ๆ เข้ามาภายใน Copilot ด้วย อย่างเช่น Copilot Voice ที่ให้เราสามารถพูดคุยกับ Copilot ได้โดยตรงผ่านการพูดคุยด้วยเสียง, Copilot Daily ที่จะให้ Copilot ทำการสรุปเรื่องราว รวมไปถึงข่าวต่าง ๆ ที่ Copilot จะทำการสรุปให้เราฟังในแต่ละวัน เหมือนฟังข่าวตอนเช้า และสามารถเลือกให้ Copilot คิดให้ลึกขึ้นกว่าเดิมในการพิมพ์แชตคุยกันได้แล้วด้วย โดยสามารถใช้ได้ทั้งบนสมาร์ตโฟนและคอมพิวเตอร์ โดยจะเปิดให้อัปเดตภายในเดือนตุลาคมนี้

อีกฟีเจอร์ใหม่ก็คือ Copilot Vision ที่จะให้ Copilot ส่องหน้าจอของเรา แล้วให้เราพูดคุยกับ Copilot โดยตรงเพื่อให้ AI ช่วยคิดและตอบคำถามที่เราต้องการ เช่นให้แนะนำหนังจากหน้าเว็บ Rotten Tomatoes ที่เปิดอยู่ ซึ่งได้มีการคำนึงถึงเรื่องความเป็นส่วนตัวไว้แล้ว โดยจะให้ Copilot แจ้งเตือนว่ามีการเปิดฟีเจอร์นี้เอาไว้ตลอด และมีการขออนุญาตในการเข้าถึงหน้าจอของเราทุกครั้ง รวมไปถึง Microsoft ได้สัญญาว่าจะไม่มีการบันทึกการสนทนา และเนื้อหาที่ Copilot อ่าน และสิ่งที่สนทนาไว้จะไม่ถูกนำไปประมวลผล หรือเทรน AI ใหม่อีกด้วย

Copilot Vision ระหว่างที่ให้ Copilot แนะนำหนังจากหน้าเว็บไซต์ Rotten Tomatoes

Windows Search รูปแบบใหม่

นอกจากเรื่องของการค้นหาผ่าน Recall แล้ว การค้นหาไฟล์ต่าง ๆ รวมถึงเอกสาร การตั้งค่า หรือรูปภาพ บนคอมพิวเตอร์ Copilot+ PC ได้มีการปรับแต่งมาเพิ่มเติม และทำให้ง่ายมากขึ้น ด้วยการค้นหาด้วยเสียง โดยสามารถอธิบายสิ่งที่ต้องการจะหาบน Windows ได้แล้ว โดยไม่จำเป็นต้องจำชื่อไฟล์ หรือกระทั่งการสะกดคำ แค่พิมพ์ลักษณะของสิ่งของข้างใน เพื่อค้นหาบน Copilot+ PC ได้ ซึ่งฟีเจอร์นี้สามารถใช้ค้นหาภาพที่อัปโหลดไว้บน OneDrive ได้ด้วย จากการที่คอมพิวเตอร์ที่ใช้ Copilot+ PC ใช้ชิปเซตที่ประมวลผล AI ได้มากสุดถึง 40 TOPs เลยสามารถประมวลผลได้ในเครื่องเลยแบบออฟไลน์ ซึ่ง Microsoft จะเปิดให้ใช้งานในโปรแกรม File Explorer และขยายไป Windows Search รวมถึงการตั้งค่าต่าง ๆ ในอนาคตต่อไป

‘Windows on ARM’ ยุคใหม่ รองรับโปรแกรมมากกว่าเดิม

หลังจากที่ Copilot+ PC ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM ได้เปิดตัวมา ก็ได้เพิ่มแอปพลิเคชันใหม่ ๆ ที่รองรับให้ใช้งานได้บนคอมพิวเตอร์ Copilot+ PCs ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM มากขึ้นเรื่อย ๆ เช่น Chrome, Zoom, Brave, Opera, Slack, Spotify, Adobe (InDesign, Illustrator และ Premiere), Davinci Resolve, Algoriddim djay Pro, Libre Office, 1Password และ Todoist เป็นต้น และยังมีแอปพลิเคชันที่กำลังจะรองรับการใช้งานบน Copilot+ PC ที่ใช้ ARM เพิ่มขึ้นแล้ว เช่น Vegas Pro, Fantastical, Sketchbook Pro, Arc Browser, Google Drive และอื่น ๆ อีก ซึ่งรวมถึง VPN ต่าง ๆ เช่น ExpressVPN, Private Internet Access, Surfshark และ Windscribe ด้วย โดย NordVPN จะใช้งานได้เร็ว ๆ นี้ด้วยเช่นกัน

ฟีเจอร์อื่น ๆ ที่เพิ่มเข้ามาใน Windows 11 24H2

นอกจากนั้น Windows 11 24H2 จะเริ่มทยอยปล่อยออกมาให้คนที่ใช้ Windows 11 ได้อัปเดตแล้ว โดยได้มีฟีเจอร์ใหม่ ๆ เช่น Energy Saver ที่ออกแบบมาเพื่อยืดอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ และลดการใช้พลังงาน รวมไปถึงฟีเจอร์ Hearing Aid ที่ใช้เทคโนโลยี Bluetooth LE Audio ในการทำงาน และยังมีภาพพื้นหลังที่ใช้ช่วงสีไดนามิกสูงแบบ HDR ให้ได้ตั้งค่าหน้าจออีกด้วย 

นอกจากนี้ Microsoft ยังได้ปรับปรุงแถบ Taskbar, System Tray, File Explorer และการตั้งค่า (Settings) เพื่อให้การทำสิ่งต่าง ๆ ใน Windows บน PC ง่ายขึ้นและใช้งานได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น สามารถอ่านข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับฟีเจอร์ใหม่เพิ่มเติมได้ผ่านเว็บไซต์ของ Microsoft ได้เช่นเดียวกัน

ทั้งนี้ ฟีเจอร์ใหม่ทั้งหมดนี้ จะเปิดให้อัปเดตในคอมพิวเตอร์ที่ผ่านมาตรฐาน Copilot+ PC กับคนที่สมัคร Windows Insider ตั้งแต่เดือนตุลาคมนี้เป็นต้นไป หลังจากนั้นในวันที่ 1 พฤศจิกายนนี้ ไมโครซอฟท์จะทยอยเปิดให้ผู้ใช้ทั่วไปได้อัปเดตได้ต่อไป