รัฐบาลเร่งแก้ไขพระราชกำหนดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ ให้ธนาคารและค่ายมือถือร่วมรับผิดชอบ หากประชาชนตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพหลอกโอนเงิน พร้อมเพิ่มมาตรการป้องกันอาชญากรรมออนไลน์
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เปิดเผยว่า รัฐบาลกำลังปรับแก้ร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมไซเบอร์ โดยเน้นการให้ธนาคารพาณิชย์และผู้ให้บริการโทรคมนาคมมีส่วนร่วมรับผิดชอบในกรณีที่ประชาชนถูกหลอกโอนเงิน ในร่างแก้ไข พ.ร.ก. นี้ มี 3 มาตรการสำคัญ ได้แก่
- การกำหนดให้ธนาคารและค่ายมือถือร่วมรับผิดชอบเมื่อเกิดความเสียหาย
- มาตรการคืนเงินให้ผู้เสียหาย (ขั้นตอนนี้ยังอยู่ระหว่างพูดคุยรายละเอียด)
- เพิ่มบทลงโทษต่อผู้กระทำผิดให้เข้มงวดขึ้น
นายประเสริฐกล่าวเสริม “หากธนาคารหรือค่ายมือถือไม่ปฏิบัติตามมาตรการและเกิดความเสียหาย พวกเขาต้องรับผิดชอบในส่วนของเงินที่สูญเสียไป” รวมทั้งยังมีการพูดคุยกับตัวแทนธนาคารและค่ายมือถือ ซึ่งทุกฝ่ายเห็นด้วยกับแนวทางนี้
มาตรการเพิ่มเติมเริ่มต้นปีใหม่
ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2568 จะมีมาตรการใหม่ออกมาเพื่อป้องกันอาชญากรรมไซเบอร์ โดยจะกำหนดให้ผู้ส่ง SMS แนบลิงก์ลงทะเบียนข้อมูลส่วนตัว หากไม่แจ้งสถานะหรือไม่พบข้อมูล โอเปอเรเตอร์จะระงับการส่งทันที มาตรการนี้ถูกออกแบบเพื่อปิดช่องโหว่ที่มิจฉาชีพใช้ส่งลิงก์หลอกลวงประชาชน
นายประเสริฐยังเน้นว่า การแก้ไข พ.ร.ก. ครั้งนี้ เป็นการนำบทเรียนจากประเทศสิงคโปร์ซึ่งเพิ่งออกกฎหมายลักษณะเดียวกันมาใช้ โดยไทยหวังให้มาตรการนี้สามารถปิดทุกช่องโหว่ที่มิจฉาชีพเคยใช้ผ่านระบบธนาคารและผู้ให้บริการโทรคมนาคม ไม่ว่าจะเป็นการส่งข้อความหลอกลวงหรือการโอนเงินเข้าสู่บัญชีมิจฉาชีพ
นอกจากนี้ รัฐบาลจะจัดตั้งทีมเฉพาะกิจร่วมระหว่างกระทรวงดิจิทัลฯ, สำนักงานตำรวจแห่งชาติ และธนาคารแห่งประเทศไทย เพื่อเร่งตรวจสอบและติดตามเงินที่ถูกโอนออกไปให้กลับคืนสู่ผู้เสียหายได้อย่างรวดเร็วที่สุดในกรณีที่เกิดเหตุการณ์หลอกลวงเกิดขึ้น