ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 28 ธันวาคม เป็นต้นไป อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แบบพกพาขนาดเล็กและขนาดกลาง ได้แก่ โทรศัพท์มือถือ แท็บเล็ต กล้องดิจิทัล หูฟัง ชุดหูฟัง ลำโพงแบบพกพา คอนโซลวิดีโอเกมแบบพกพา เครื่องอ่านอีบุ๊ก หูฟังแบบสอดหู คีย์บอร์ด เมาส์ และระบบนำทาง ที่วางจำหน่ายในสหภาพยุโรปจะต้องรองรับพอร์ต USB-C ซึ่งได้ถูกกำหนดให้เป็นมาตรฐานกลางทั่วทั้งสหภาพยุโรป เพื่อต้องการลดปริมาณขยะอิเล็กทรอนิกส์และแก้ปัญหาการแบ่งแยกตลาด

7 มิถุนายน 2022 สหภาพยุโรปได้บรรลุข้อตกลงชั่วคราวเกี่ยวกับหลักเกณฑ์ว่าด้วยมาตรฐานการชาร์จเดียวกัน และเดือนตุลาคมปีเดียวกันก็ได้อนุมัติขั้นสุดท้ายเป็นข้อบังคับให้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ดังที่กล่าวมาในตอนต้นรองรับการชาร์จด้วยพอร์ต USB-C เป็นมาตรฐานกลาง ซึ่งมีเวลาให้บริษัทต่าง ๆ ได้ปรับตัวโดยจะเริ่มบังคับใช้ในวันที่ 28 ธันวาคม 2024

นอกจากนี้ผู้ซื้อยังสามารถเลือกที่จะไม่รับตัวชาร์จใหม่กับอุปกรณ์แต่ละเครื่องที่ซื้อได้อีกด้วย ส่วนแลปทอปจะเริ่มใช้กฎเดียวกันตั้งแต่ 28 เมษายน 2026 เป็นต้นไป

หน่วยงานคุ้มครองผู้บริโภคของรัฐสภายุโรปเผยว่ากฎนี้จะช่วยให้ผู้บริโภคสะดวกยิ่งขึ้น และช่วยจัดการกับขยะที่เกิดจากการทิ้งที่ชาร์จปีละหลายตัน รวมทั้งประหยัดเงินจากการจ่ายค่าที่ชาร์จโดยไม่จำเป็นปีละประมาณ 250 ล้านยูโร (8,880 ล้านบาท) ทั้งนี้ทางหน่วยงานจะติดตามดูสินค้าแบรนด์ต่าง ๆ อย่างใกล้ชิดว่าจะดำเนินการตามกฎนี้หรือไม่

การผลักดันให้ที่ชาร์จเป็นมาตรฐานเดียวกันของสหภาพยุโรปได้ส่งผลกระทบต่อบริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์จำนวนมาก จึงต้องใช้เวลานานกว่าจะทำสำเร็จ ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่จะใช้พอร์ต USB-C กันอยู่แล้ว แต่มีบางบริษัทที่ใช้เทคโนโลยีของตัวเอง เช่น Apple ที่มีบางอุปกรณ์ใช้พอร์ตชาร์จแบบ Lightning ไม่ว่าจะเป็น iPhone 14, iPhone SE และ Magic Keyboard ที่ไม่มี TouchID กำลังถูกเก็บออกจากร้านค้าในสหภาพยุโรป

กฎนี้ยังครอบคลุมถึงการชาร์จแบบเร็ว หมายถึงการชาร์จผ่านสายไฟที่มีแรงดันไฟฟ้าสูงกว่า 5 โวลต์ กระแสไฟฟ้าสูงกว่า 3 แอมแปร์ หรือกำลังไฟสูงกว่า 15 วัตต์ ซึ่งกฎได้กำหนดให้อุปกรณ์ที่ชาร์จแบบเร็วจะต้องทำงานร่วมกับ USB PD พบว่าโทรศัพท์มือถือและอุปกรณ์หลายรุ่นได้ใช้มาตรฐานนี้อยู่แล้ว เช่น  iPhone, Google Google Pixel, Mi 8 Pro, iPad Pro รุ่นใหม่ และ Nintendo Switch แต่ก็มีบางรุ่นไม่รองรับ USB PD เช่น OnePlus และ OPPO ที่ใช้มาตรฐานการชาร์จ SUPERVOOC