วันศุกร์ที่ผ่านมา มาร์ก ซักเคอร์เบิร์ก (Mark Zuckerberg) ซีอีโอของ Meta ได้โพสต์บน Facebook เผยว่าบริษัทมีเป้าหมายด้าน AI ในปี 2025 ด้วยการขับเคลื่อนให้โมเดลเอไอของบริษัทอยู่แถวระดับแถวหน้าสำหรับให้บริการผู้ใช้มากกว่า 1,000 ล้านคน ซึ่งบริษัทพร้อมจะทุ่มเงิน 60,000 – 65,000 ล้านเหรียญ (2.00 – 2.18 ล้านล้านบาท) ในโครงสร้างพื้นฐานเอไอ เพื่อต้องการขยายสู่ความเป็นผู้นําด้านเทคโนโลยีของอเมริกัน
ซักเคอร์เบิร์กต้องการให้ Llama 4 โมเดลเอไอที่สามารถให้เหตุผลและการโต้ตอบด้วยเสียง กลายเป็นผู้นำในบรรดาเหล่าโมเดลเอไอ โดยบริษัทจะสร้างทีมวิศวกรเอไอเข้ามาเขียนโค้ดและวิจัยพัฒนา และจะเพิ่มกำลังในการประมวลผลโดยการสร้างดาตาเซนเตอร์ขนาก 2 จิกะวัตต์ ที่มีขนาดใหญ่ครอบคลุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของแมนฮัตตัน ด้วยการประมวลผลประมาณ 1 จิกะวัตต์ ในปี 2025 ซึ่งปลายปีนี้บริษัทจะอัด GPU มากกว่า 1,300,000 ชิ้น
ซักเคอร์เบิร์กย้ำว่าปี 2025 ทีมเอไอของบริษัทจะเติบโตอย่างโดดเด่น และจะทุ่มงบลงทุนในปีต่อ ๆ ไป ซึ่งชี้ว่าหลายปีที่ผ่านมาเอไอได้ช่วยขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์และธุรกิจหลักของบริษัท ดังนั้นบริษัทจึงต้องการจะสร้างนวัตกรรมแบบพลิกประวัติศาสตร์ เพื่อก้าวสู่ความเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม Meta ยังคงมีรายได้ส่วนใหญ่มาจากการโฆษณาดิจิทัล แม้ว่าล่าสุด Reality Labs หน่วยงานผลิตฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ VR และ AR จะทำยอดขายได้เกิน 1,000 ล้านเหรียญ (33,580 ล้านบาท) แต่การดำเนินงานยังคงขาดทุนถึง 4,650 ล้านเหรียญ (156,147 ล้านบาท)
นอกจากนี้ ปัจจุบันผลิตภัณฑ์เทคโนโลยีต่างมีจุดขายด้วยฟีเจอร์ที่ขับเคลื่อนด้วยเอไอ ดังนั้นบริษัทบิ๊กเทคต่างต้องการไปยืนอยู่หัวแถวโดยพยายามแข่งขันพัฒนาโมเดลเอไอ และต้องใช้เงินทุนมหาศาลในการสร้างดาตาเซนเตอร์และซื้อชิปเร่งการประมวลผล ซึ่งไม่กี่ปีที่ผ่านมา Meta ได้ทุ่มเงินลงทุนไปแล้วหลายพันล้านเหรียญ (หลานแสนล้านบาท) และซักเคอร์เบิร์กเคยบอกกับนักลงทุนว่าต้องใช้เวลาสักระยะที่จะได้รับผลประโยชน์หรือเงินคืนกลับมา