Microsoft ประกาศผ่านหน้าเว็บไซต์ในหมวด Support ว่าบริษัทจะสิ้นสุดการสนับสนุนฟีเจอร์ VPN หรือการปกป้องความเป็นส่วนตัวใน Microsoft Defender ซึ่งฟีเจอร์นี้จะหยุดให้บริการในวันที่ 28 กุมภาพันธ์นี้ ส่วนฟีเจอร์อื่น ๆ ได้แก่ การปกป้องอุปกรณ์ การโจรกรรมข้อมูลประจำตัว และการตรวจสอบเครดิต (สหรัฐอเมริกา) จะยังคงมีอยู่เช่นเดิมต่อไป

ฟีเจอร์ VPN มีชื่อเต็มว่า การปกป้องความเป็นส่วนตัว (Privacy protection) เป็นฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย ที่ออกแบบมาเพื่อปกป้องข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของผู้ใช้จากภัยคุกคามเมื่อมีการเชื่อมต่อผ่านเครือข่ายไวไฟแบบเปิดและแบบสาธารณะ ฟีเจอร์นี้อยู่บน Microsoft Defender แอปฯ รักษาความปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งาน Microsoft 365 แบบรายบุคคล (Personal) หรือครอบครัว (Family)

ฟีเจอร์ VPN ถูกสร้างขึ้นมา เพราะผู้ใช้ได้มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตอยู่ตลอดเวลา ทั้งที่บ้านและสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งการเชื่อมต่อผ่านไวไฟสาธารณะอาจสามารถถูกแอบดูข้อมูลส่วนตัวจากบุคคลในเครือข่ายเดียวกันได้ ดังนั้นจึงใช้ VPN ช่วยปิดซ่อนไอพีแอดเดรส และตำแหน่งของผู้ใช้จากเว็บไซต์ แอปฯ และโฆษณา ที่พยายามติดตามกิจกรรมออนไลน์และรวบรวมข้อมูลส่วนตัว อีกทั้งยังช่วยเข้ารหัสในการรับส่งข้อมูลอีกด้วย

Microsoft ชี้แจงเหตุผลในการลบฟีเจอร์ VPN ออกไปว่า “เป้าหมายของเราคือการทำให้คุณและครอบครัวของคุณปลอดภัยยิ่งขึ้นเมื่อใช้งานออนไลน์ เราประเมินการใช้งานและประสิทธิภาพของฟีเจอร์ต่าง ๆ ของเราเป็นประจำ ดังนั้น เราจึงลบฟีเจอร์การปกป้องความเป็นส่วนตัวและจะลงทุนในด้านใหม่ ๆ ที่จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น”

หลังจากสิ้นสุดการให้บริการ VPN ผู้ใช้ Defender บน iOS ในการป้องกันเว็บ (แอนตีฟิชชิง) ซึ่งจะใช้ VPN เพื่อปกป้องจากลิงก์อันตราย ผู้ใช้จะยังคงเห็น VPN ในการป้องกันเว็บ ซึ่งเป็น VPN แบบ Loop back ไม่ใช่ฟีเจอร์ VPN การปกป้องความเป็นส่วนตัว (คนละตัวกัน) ทั้งนี้ผู้ใช้ Windows, iOS และ macOS ไม่ต้องดำเนินการใด ๆ ส่วนผู้ใช้แอปฯ Defender บน Android จะยังคงเห็นโปรไฟล์ VPN ที่ตั้งค่าเอาไว้ ซึ่งไม่ส่งผลกระทบใด ๆ และสามารถลบออกด้วยตัวเองได้