สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่าในเดือนนี้ มหาวิทยาลัยมากมายทั่วประเทศจีนได้เปิดหลักสูตรเอไอ ตามกระแสความนิยมใน DeepSeek แชตบอตเอไอสัญชาติจีน ซึ่งได้มีการเปรียบเปรยถึงความก้าวหน้าของ Deepseek R1 ว่าเป็น “ช่วงเวลาของสปุตนิกแห่งเอไอ” โดยอ้างอิงจากเหตุการณ์ในปี 1957 ที่สหภาพโซเวียตได้ส่งดาวเทียมสปุตนิกขึ้นสู่อวกาศ ซึ่งเป็นดาวเทียมดวงแรกที่โคจรรอบโลก และได้กระตุ้นสหรัฐฯ เร่งพัฒนาการศึกษา วิจัยและสำรวจอวกาศอย่างหนัก

สัปดาห์นี้ มหาวิทยาลัยเซินเจิ้นที่ตั้งอยู่ในมณฑลกวางตุ้งทางตอนใต้ของจีน ประกาศจะเปิดตัวหลักสูตรเอไอเกี่ยวกับ DeepSeek, มหาวิทยาลัยเจ้อเจียงที่ตั้งอยู่ในภาคตะวันออกของจีนได้เริ่มเปิดหลักสูตรพิเศษเกี่ยวกับ DeepSeek ในเดือนกุมภาพันธ์, มหาวิทยาลัยเจียวทงที่ตั้งอยู่ในเซี่ยงไฮ้ได้นำ DeepSeek มาใช้เป็นเครื่องมือการเรียนรู้เกี่ยวกับเอไอ และมหาวิทยาลัยเหรินหมินแห่งประเทศจีน ได้นำ DeepSeek มาใช้ประโยชน์ในงานด้านต่าง ๆ เพื่อสนับสนุนการสอนและวิจัย

เดือนมกราคมที่ผ่านมา แอปฯ AI assistant ของ DeepSeek ได้ขึ้นแท่นเป็นแอปฯ ฟรีอันดับ 1 ใน Apple App Store ของสหรัฐฯ ซึ่งแซงหน้า ChatGPT ของ OpenAI หลังจากพึ่งเปิดตัวเมื่อ 10 มกราคม ซึ่งแอปฯ ดังกล่าวขับเคลื่อนโดย โมเดล DeepSeek-V3 ที่ฝึกโดยใช้ชิปรุ่นเก่า H800 ของ NVIDIA ที่จ่ายเงินไม่เกิน 6 ล้านเหรียญ (210 ล้านบาท) ซึ่งน้อยกว่าค่าใช้จ่ายในการเทรนโมเดลเอไอของสหรัฐฯ ที่ใช้ชิปรุ่นประสิทธิภาพสูงกว่า แต่ประสิทธิภาพของ DeepSeek-V3 นั้นใกล้เคียงกับ ChatGPT 4o และต่อมา DeepSeek ได้เปิดตัว DeepSeek R1 โมเดลการให้เหตุผลที่มีประสิทธิภาพเทียบชั้นกับ GPT o1 ของ OpenAI

DeepSeek ได้รับคำชมจากผู้บริหารและวิศวกรบริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐฯ หลายคนว่า โมเดล DeepSeek-V3 และ DeepSeek-R1 นั้นมีประสิทธิภาพเทียบชั้นกับโมเดลขั้นสูงของ OpenAI และ Meta

นอกจากนี้ มาร์ก แอนเดรียสเซน นักลงทุนสายเทคโนโลยีชื่อดังได้ทวีตว่า “Deepseek R1 เป็นช่วงเวลาของสปุตนิกแห่งเอไอ” ซึ่งแม้ว่าจะมีหลายเสียงออกมาค้านว่ามันไม่ถึงขนาดนั้น เพราะ R1 ยังไม่ได้เหนือกว่าโมเดลของสหรัฐฯ แต่ในความเป็นจริงมันก็กระตุ้นสหรัฐฯ ได้จริง ๆ เพราะมีข่าวว่าทรัมป์กำลังพิจารณาจำกัดส่งชิป NVIDIA ไปจีนเพิ่มเติม รวมถึงพันธมิตรของสหรัฐฯ ได้เริ่มออกมาตรวจสอบหรือสั่งห้ามใช้ Deepseek เช่น ไต้หวัน เนเธอร์แลนด์ และเกาหลีใต้

เดือนมกราคม ก่อนกระแสความนิยมใน DeepSeek รัฐบาลจีนได้ออกแผนปฏิบัติการของประเทศฉบับแรก ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อสร้าง ระบบการศึกษาคุณภาพสูงและอยู่ในระดับที่ดีที่สุดในโลก ภายในปี 2035 และวันจันทร์ที่ผ่านมามีรายงานว่า สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีของจีนได้ประชุมกับ เหลียง เหวินเฟิง ผู้ก่อตั้ง DeepSeek และแจ็ค หม่า ผู้ก่อตั้ง Alibaba รวมถึงผู้นำบริษัทเทคโนโลยีของจีนอย่าง Huawei, BYD, New Hope, Will Semiconductor, Unitree Robotics และXiaomi ซึ่งคาดว่ารัฐบาลจีนได้เปลี่ยนท่าทีจากการปราบปรามด้วยกฎระบียบ หันมาสนับสนุนบริษัทเทคโนโลยีเพื่อแข่งขันกับสหรัฐฯ