ก็วางจำหน่ายกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วนะครับ สำหรับ Nividia GeForce RTX 20 Series กับความพยายามที่จะพลิกโฉมวงการการ์ดแสดงผล โดยนำเอาฟีเจอร์ของ DX12 อย่าง DXR งัดมาเป็นจุดขาย จนทำให้เกิด meme RTX On – Off ในโลก Internet ไปอยู่พักนึงเลยล่ะครับ

แต่พอมาถึงวันนี้ ผมว่าในโลก Internet คงน่าจะได้ meme ใหม่แล้วล่ะ เมื่อ RTX แทนที่มันควรจะสร้างกราฟฟิกสวยงาม ที่ใครๆเห็นแล้วก็อยากได้ แต่มันกลับสร้างความหายนะให้กับผู้ใช้งานที่เปิดโหมด DXR เสียเอง วันนี้ผมจะมาเจาะลึกให้ดูกันชัดๆ เลยครับว่า สรุปแล้ว GeForce RTX 20 Series มันดีจริง คุ้มจริงหรือไม่

“ก่อนที่เราจะเริ่ม ก่อนอื่นต้องบอกก่อนว่าตัวผมไม่ได้มีเจตนาที่จะโจมตีเหล่าผู้ใช้งาน RTX ทุกๆท่านนะครับ ผมเพียงแต่เอาข้อเท็จจริงมานำเสนอเท่านั้น”

ก่อนอื่นเรามาพูดถึงเรื่องแรกกันก่อน นั้นก็คือสเปคของการ์ด RTX แต่ละตัวครับ ในครั้งก่อน ผมเคยสำเอาสเปคของการ์ด RTX 2080 มาปะทะกับ 1080Ti แล้วก็พบว่า 1080Ti นั้นมีสเปคที่ค่อนข้างสูงกว่าอย่างเห็นได้ชัด หากเรามองแค่ตัวเลข แต่ถ้าพูดถึงเรื่อง Clock ของพวกนี้มันสามารถ overclock กันได้สบาย แต่ Cuda Core มันทำไม่ได้ครับ จากในรูปจะเห็นว่าความสามารถมันแทบจะไม่ต่างกันเลย สิ่งที่ RTX 2080 ชนะ 1080Ti ก็คือความสามารถในการใช้ DXR กับเกมที่รองรับนั้นเอง

ทีนี้เรามาดูมวยคู่ต่อไปกันบ้างอย่าง 1080Ti VS 2080Ti กับรายละเอียดสเปคที่ละเอียดสุดๆ ก็จะเห็นได้ชัดครับว่า 2080Ti นั้นความแรงทิ้งไปไกลแบบไม่เห็นฝุ่นกันเลยทีเดียว และผลทดสอบก็แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนครับว่าความสามารถของ 2080Ti นั้นแรงกว่า 1080Ti อย่างจริงแท้แน่นอน ไร้ข้อกังขา

จนกระทั่ง

Battlefield V ได้ออกวางจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ผู้ใช้ RTX ทุกคนต่างกันตื่นเต้นที่จะได้สัมผัสประสบการณ์ใหม่ของการเล่นเกมบนการ์ดจอที่มีมูลค่ามากกว่า 40,000 บาท (ได้คอมแรงๆเครื่องนึง) พวกเขาไม่รอช้า ไปเปิดโหมด DXR ภายในเกมและก็พบว่า …..

ภาพความแตกต่างของ DXR Low, High และ DXR Off ของเกม Battlefield V ช่วยบอกผมทีว่ามันแตกต่างกันตรงไหน

จากตัวอย่างในเกม Battlefield V เป็นเกมแรกๆที่รองรับโหมด DXR และถือว่าเป็นเกมที่ว่ากันตามตรงก็คือภาพสวย และกินสเปคเครื่องน้อยที่สุดเท่าที่ผมเคยรู้จักมา ตัวเกมสร้างความแตกต่างในโหมด High, Low, Off แบบที่คงต้องตาดีมากจริงๆ ถึงจะมองเห็นถึงความแตกต่าง ถ้าคุณผู้อ่านคิดว่าดูแค่ภาพนิ่งๆ ก็คงตัดสินอะไรไม่ได้ แต่ไม่เป็นไรครับ เพราะตัวเกมมันกลับแย่ขึ้นมากกว่าเดิมอีก หากคุณเปิดโหมด DXR แล้วเล่นไปด้วย

ให้ภาพมันเล่าเรื่อง

จากในรูป นี่คือผลทดสอบของการเปิดโหมด DXR on และ Off โดยใช้เจ้า RTX 2080Ti เป็นตัวทดสอบครับ เราจะเห็นได้ชัดเจนเลยว่า FPS ภายในเกมที่จาก Off สามารถรันได้สูงสุดที่ 150 FPS แต่เมื่อเปิดโหมด DXR Low เมื่อไร FPS กลับร่วงไปอยู่ที่ 72 FPS ทันที และหนักไปกว่านั้นที่ Ultar FPS เหลือเพียงแค่ 49 และอย่าลืมนะครับว่านี่เป็นผลการทดสอบของ 2080Ti หากเราจะพูดถึง 2080, 2070 หรือ 2060 ในอนาคตละก็ ผลการทดสอบคงจะออกมาดูแย่กว่านี้

2080Ti VS 1080Ti ในเกม Battlefield V 4K

แต่ถ้าหากเราตัดเจ้าโหมด DXR ออกไปแล้วมาวัดกันที FPS ล่ะ จากในรูป คือเกม Battlefield V โดยปรับกราฟฟิกไว้ที่ Ultra และความละเอียดภาพระดับ 4K ก็จะพบว่าแตกต่างกันประมาณ 10-20 FPS ก็ถือว่าเป็นเรื่องปกติ เพราะด้วยสเปคของ 2080Ti ที่แรงกว่ามากๆ คงจะเป็นไปไม่ได้ที่ 1080Ti จะไปเอาชนะ หรือเทียบเท่าเจ้า 2080Ti ได้ แม้ว่าจะ Overlock มาหนักแค่ไหนก็ตาม

สรุปแล้วมันคุ้มไหม ?

คำตอบของคำถามนี้ คุณผู้อ่านน่าจะตัดสินใจกันได้แล้ว แต่สำหรับตัวผมคงบอกว่า “ไม่คุ้มอย่างแรง” เราจะนำเอาราคาการ์ดจอทั้ง 3 ตัวที่ถูกใช้ทดสอบในบทความนี้มาเปรียบเทียบกัน GTX 1080Ti ราคาเริ่มต้นที่ 25,900 บาท ต่อมากับ RTX 2080 ที่เริ่มต้นเพียงแค่ 27,500 บาท แต่ตัวต่อมากับ RTX 2080Ti ที่เปิดมาเริ่มต้นที่ 42,500 บาท

ถ้าว่ากันตามตรงแล้ว ผมยังไม่เห็นว่ามันจะมีเหตุผลไหนจำเป็นที่คุณต้องยอมจ่ายเงินมากถึง 40,000 บาทเพื่อโหมด DXR หรือ FPS Off นี่เลยสักนิดครับ อีกอย่างคือตลาดมือสองตอนนี้ที่กว้างมากๆ ราคาของ GTX 1080Ti ตกมาเหลือไม่เกิน 20,000 แล้วก็มี !!

Play video

ตรงนี้คือการสรุปของตัวผมเอง อย่างที่ผมบอกไปแล้วว่า Battlefield นั้นเป็นเกมที่กินสเปคเครื่องน้อยมากๆ และยังแสดงผลด้านกราฟฟิกออกมาดีงาม เรียกได้ว่าเป็นผู้นำวงการเกมเลยก็ว่าได้ เป็นผลมาจาก Frostbite Engine นั้นเองครับ การมาของ DXR ที่ทำให้ Frame Rate ตกจาก 150 ลงมาเหลือ 70 ได้ ในเกมที่ใช้ Frostbite Engine ผมมองว่าถ้าเป็น Engine ตัวอื่นๆ ก็คงออกมาดูแย่กว่านี้ในเรื่องของ Frame Rate

แต่ถ้าหากเรามองในอีกมุมหนึ่ง ก็คือการที่ตัว DXR เองมันยังไม่พร้อมสำหรับการใช้งานอย่างจริงจัง เพราะเอาเข้าจริง จะเปิดหรือจะปิด มันก็มองความแตกต่างอะไรไม่ออกเลย มันอาจจะมีบ้างเล็กน้อย แต่การที่เราจะต้องยอมแลก Frame Rate ไปครึ่งนึง เพื่อการได้มาของภาพสะท้อนแสงเนี้ยนะ สำหรับผมคิดว่ามันเป็นเรื่องที่ค่อนข้างจะไร้สาระมากๆเลยครับ