เปิดตัว iOS 13 ระบบปฏิบัติการสำหรับสมาร์ตโฟนของ Apple หรือ iPhone รุ่นล่าสุด สำหรับปีนี้พิเศษตรงที่ Apple ได้แยกระบบปฏิบัติการของ iPad ออกมาจาก iOS โดยใช้ชื่อว่า iPadOS นั่นเองครับ สำหรับ iOS 13 นั้นจะเน้นพัฒนาระบบเดิมให้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม

ในงาน WWDC, Apple เริ่มต้นด้วยการเผยตัวเลขติดตั้ง iOS 12 สูงถึง 85% เมื่อเทียบกับ Android 9 ซึ่งถูกติดตั้งบนอุปกรณ์ทั้งหมด 10% เท่านั้น แต่ประเด็นนี้เทียบกันได้ยากหน่อยเพราะผู้ผลิตสมาร์ตโฟน Android มีหลายเจ้า ขึ้นอยู่กับแต่ละเจ้าด้วยว่าจะปล่อยอัปเดตออกมาหรือไม่

หลังจากอวดตัวเลขกันเสร็จแล้ว Craig Federighi ก็ได้ขึ้นมากล่าวเปิดตัว iOS 13 อย่างเป็นทางการ สิ่งที่กล่าวเป็นอย่างแรกเลยคือเรื่องการพัฒนาระบบให้เร็วและแรงขึ้น อย่าง Face ID ก็สามารถทำงานได้เร็วกว่าเดิมถึง 30% เลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง-ขนาดแอปพลิเคชั่นใน App Store ให้เล็กลง 50% ส่งผลให้ผู้ใช้งานสามารถเปิดใช้งานแอปได้เร็วขึ้น 2 เท่า และขนาดอัปเดตจาก App Store จะเล็กลงถึง 60% เลยทีเดียวครับ

ตามด้วย Dark Mode คือของที่ใครหลายๆ คนรอ ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนการแสดงผลบางส่วนให้เป็นสีเข้ม แต่เป็นการเปลี่ยนการแสดงผลทั้งระบบหรือธีมให้เป็นแบบมืดทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น การแจ้งเตือน วิดเจ็ต แอปต่างๆ และระบบทั้งหมด!

Play video

เพิ่มเติมในส่วนของคีย์บอร์ด นอกจากมีการแสดงผลแบบ Dark mode แล้ว Apple ยังใส่ Swipe keyboard ลงมาให้แล้วด้วย โดย Apple ใช้ชื่อว่า Quick Path ครับ

Apple ยังยกเครื่องปรับปรุงระบบ Maps ใหม่ทั้งหมด หลังผู้ใช้งานเลือกใช้งาน Google Maps มากกว่า (ฮา) Craig ได้เปิดภาพรถของ Apple ที่ไปเก็บข้อมูลรายละเอียดพื้นที่ตามสถานที่ต่างๆ อย่าง Bay Area โดยสหรัฐอเมริกาจะได้ใช้งานแผนที่แบบใหม่ทั้งหมดภายในปลายปี 2019 และประเทศอื่นๆ จะตามมาในปีหน้า

แล้ว Maps มีอะไรใหม่บ้าง? Apple ได้เพิ่มฟีเจอร์หลายอย่างเข้ามาใน Maps เช่น Favorites, Collections และ Look Around ซึ่งมาแทนที่ Flyover หรือง่ายๆ ก็คือ Google Street View นั่นเอง

และประเด็นแห่งปีคือเรื่อง ความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว Apple ได้ยกระดับ Private and Secure ให้สูงยิ่งขึ้นอีก

Apple เปิดตัว Sign in with Apple หรือการล็อกอินด้วย Apple ID ซึ่งจะไม่ทำให้ข้อมูลเกิดการรั่วไหล โดย Apple ยกตัวอย่างว่าการ Sign in ด้วยระบบอื่นๆ อย่าง Sign in with Facebook จะต้องแลกมาด้วยข้อมูลส่วนตัวของผู้ใช้งานเอง ซึ่ง Apple อยากแก้ปัญหาในส่วนนี้จึงเปิดตัวฟีเจอร์นี้ขึ้นมา

แล้ว Sign in with Apple แตกต่างจากระบบอื่นอย่างไร? Apple ได้ปิดระบบการแชร์ข้อมูลให้กับเว็บหรืออะไรก็ตามที่เราไป Sign in ด้วย ทำให้ข้อมูลของเราไม่ถูกแชร์ไปยังต้นทางที่เราลงชื่อเข้าใช้ และยังสามารถสร้างอีเมลชั่วคราวสำหรับล็อกอินได้อีกด้วย ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีงามมากเลยทีเดียว

ระบบการแชร์ตำแหน่งก็ถูกปรับปรุงใหม่ จำกัดการใช้งานได้มากขึ้น เลือกแชร์โลเคชั่นเพียงครั้งเดียวได้ แต่หากเปิดแชร์ตลอดหรือมีการใช้งานอยู่ใน Background ก็จะมีการแจ้งเตือนเข้ามาให้ผู้ใช้งานทราบด้วย

นอกจากนี้ Apple ยังเปิดตัว HomeKit Secure Video โดยระบบจะเก็บวิดีโอที่ได้จากกล้อง บันทึกและเข้ารหัสให้เรียบร้อยผ่านอุปกรณ์ในระบบ HomeKit เช่น AppleTV ก่อนจะส่งไปที่ iCloud ซึ่งแม้แต่ Apple ก็ไม่สามารถดูได้ว่ามีการบันทึกอะไรไว้บ้าง และวิดีโอที่นำไปเก็บบน iCloud นั้นจะไม่ถูกนับพื้นที่รวมกับ iCloud ปกติ แต่จะถูกเก็บบน iCloud 10 วันเท่านั้น

Apple ยังเพิ่มลูกเล่นให้ ​Memoji Sticker ให้ผู้ใช้งานสามารถแต่งสติกเกอร์ของตัวเองได้มากขึ้น เช่น การใส่เครื่องประดับ แว่น หรือ AirPods เป็นต้น

เรื่องกล้องก็เป็นสิ่งที่ Apple ไม่ทิ้ง บริษัทได้เพิ่มลูกเล่นใหม่เข้ามาในโหมด Portrait Lightning สามารถปรับเพิ่มเอฟเฟคให้รูปภาพได้ พร้อมโหมดปรับแต่งรูปภาพอีกเยอะมาก เช่น Noise Reduction เป็นต้น และสามารถกลับแนวตั้งแนวนอนวิดีโอได้แล้วนะ

นอกจากนี้แอป Photos จะใช้ Machine Learning ในการจัดการ Gallery รวมถึงไปการลบรูปภาพซ้ำด้วย

ตามด้วยระบบเสริมอย่าง AirPods, CarPlay, HomePods, Siri และอื่นๆ

  • AirPods: ผู้ใช้งานสามารถแชร์เพลงที่ฟังผ่าน AirPods ได้แล้ว และสามารถตอบข้อความโดยไม่ต้องเรียกใช้งาน Hey Siri อีกแล้วด้วย
  • HomePod: มีฟีเจอร์ Hand off ให้ใช้งานแล้ว เพียงแค่นำ iPhone ไปไว้ใกล้ๆ HomePod ระบบก็จะทำงานทันที
  • CarPlay: แสดงรายละเอียดเพลงมากขึ้น ปรับแต่งการแสดงผลแบบใหม่
  • Siri: เพิ่มความสามารถ Siri ด้วย Neural TTS ทำให้ Siri เน้นคำได้ถูกต้องและแม่นยำมากยิ่งขึ้น พูดเป็นธรรมชาติมากขึ้นกว่าเดิม
  • แอป Find my: รวม find my iPhone กับ find my friend เข้าเป็นแอปเดียว
  • แอป Reminder: ออกแบบใหม่ทั้งหมด ช่วยให้ผู้ใช้งานสามารถสร้างการแจ้งเตือนแบ่งตามหัวข้อ (Categories) ต่างๆ ได้ และยังมี AI เพียงพิมพ์ลงไประบบจะช่วยหาสิ่งที่คุณต้องการเตือนมาให้ได้เลย

อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีกำหนดการปล่อยอัปเดตหรือชี้แจงอุปกรณ์ที่รองรับการอัปเดต iOS 13 ออกมาให้ทราบ ก็คงต้องรอดูว่า Apple จะประกาศอะไรตามหลังมาหรือไม่