หลังจากที่สนามบินศูนย์กลางของโลกหลายแห่งอย่าง สนามบิน Schipol ใน อัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ รวมทั้งสนามบิน Hartsfield-Jackson ในแอตแลนตาและ O’Hare ในชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ตรวจสอบและแยกสัมภาระของผู้โดยสารด้วยเครื่องสแกนสามมิติกันไปแล้ว

ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีของอังกฤษ ได้มาประกาศแผนการใช้เครื่องสแกนสามมิติช่วยในการแยกสัมภาระของผู้โดยสารก่อนขึ้นเครื่อง เพื่อลดปัญหาการจำกัดของเหลวและการนำแล็ปท็อปขึ้นเครื่อง

ปัจจุบันนี้ สนามบินอังกฤษถูกเข้มงวดในการโหลดของเหลวขึ้นเครื่อง เพราะเดือนสิงหาคม 2549 ตำรวจได้ค้นพบวัตถุระเบิดที่ซ่อนอยู่ในขวดเครื่องดื่มเพื่อเตรียมวางระเบิดเครื่องบิน 10 ลำ จากนั้นเดือนพฤศจิกายน 2549 จึงมีคำสั่งยุติการใช้ของเหลวในห้องผู้โดยสาร และอนุญาตให้โหลดของเหลวเก็บไว้ในกระเป๋าได้ไม่เกิน 100 มล. โดยต้องบรรจุในถุงพลาสติกใสแล้วนำแสดงต่อเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย อะไรจะยุ่งยากขนาดนั้น

ดังนั้นจึงมีแผนใช้เครื่องสแกนสามมิติที่คล้ายกับเครื่อง CT Scan มาตรวจสัมภาระ ซึ่งจะช่วยให้เห็นภาพสิ่งที่อยู่ในกระเป๋าได้อย่างชัดเจน รวมทั้งสามารถซูมและหมุนดูในมุมมองต่างๆ ได้อีกด้วย ซึ่งจะนำร่องใช้ที่สนามบิน Heathrow ในกรุงลอนดอน ด้วยงบ 50 ล้านปอนด์ (1,872 ล้านบาท) ซึ่งจะเริ่มใช้ในปี 2565 แล้วจะกระจายสู่สนามบินอื่นๆ ในประเทศต่อไป

โครงการนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารให้ขึ้นเครื่องได้เร็วขึ้น ไม่ต้องแยกของเหลวและเอาแล็ปท็อปออกมาตรวจให้ยุ่งยากอีกต่อไป และสมศักดิ์ศรีกับการเป็นสนามบินศูนย์กลางของโลก

อ้างอิง

 

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส