ทุกค่ายสมาร์ตโฟนต่างต้องแข่งขันกันเพื่อดันสมาร์ตโฟนของตัวเองให้ถูกใจผู้บริโภค โดยฟีเจอร์สำคัญที่เรือธงในปีนี้ต้องมีคือ “5G” ถึงแม้ว่าจะเป็นเทคโนโลยีที่ยังไม่แพร่หลายนัก แต่เชื่อว่าทุกคนคงคิดไปในทำนองเดียวกันว่า “ซื้อไว้ก่อนเลยดีกว่า” และด้วยเหตุผลนี้เองที่ทำให้เรือธง Android หลาย ๆ ค่ายในปัจจุบันมีราคาที่พุ่งเกินไปไกลมาก ไม่แม้แต่แบรนด์จีนอย่าง Xiaomi หรือ OnePlus
ปัญหาหลัก ๆ ของ Snapdragon 865 คือตัวชิปเซ็ตไม่มีโมเด็ม 5G และ 4G ในตัว หากอยากจะทำให้สมาร์ตโฟนรองรับการใช้งาน 5G จะต้องซื้อโมเด็มแยกอย่าง Snapdragon X55 5G ซึ่งเมื่อเทียบกับ Snapdragon 855 นั้นมีชิปโมเด็ม 4G แบบออนบอร์ดเลย
อันที่จริงนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่สมาร์ตโฟน Android มีชิปโมเด็มแยกออกจากชิปเซ็ตอีกที ก่อนหน้านี้มี HTC Thunderbolt ที่ใช้ชิปเซ็ต + ชิปโมเด็มแยก ผลที่ตามมาคือหายนะชัด ๆ โดย HTC Thunderbolt มีความร้อนสะสมภายในเครื่องสูง ช้า บั๊กยิบย่อย แถมแบตเตอรีที่อยู่ได้ไม่นานเท่าไหร่นัก จน HTC ต้องออกมาขออภัยผู้บริโภคกันยกใหญ่เลยทีเดียว
สังเกตได้ว่าปัจจุบันสมาร์ตโฟนแบรนด์ที่ไม่เคยเปิดราคามาโหด ๆ อย่าง OPPO, Xiaomi หรือแม้แต่ OnePlus ต่างมีราคาสูงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด นี่ก็เพราะอานิสงส์ของ 5G นี่เอง อย่าง CEO ของ OnePlus, Pete Lau บอกกับ The Verge ว่าด้วยโมเด็ม 5G อาจทำให้ราคาของสมาร์ตโฟนเพิ่มขึ้นอีกราว $200 ถึง $300 และก็เป็นจริง อย่าง OnePlus 7T Pro รุ่นรองรับ 5G ราคาสูงถึง $900 ในขณะที่ OnePlus 7 Pro รุ่นรองรับ 4G มีราคาเพียง $750 หรือแม้แต่ Galaxy S10+ รุ่นรองรับ 4G ราคา $1,000 แต่ Galaxy S10+ รุ่นรองรับ 5G ราคาสูงถึง $1,300 เลยทีเดียว
รอปี 2021 เลยดีกว่า
หากไม่สนใจเรือธงแล้ว การเลือกสมาร์ตโฟนที่ใช้ชิปประมวลผล Snapdragon 765G ก็เป็นทางเลือกที่ไม่แย่นัก เพราะเป็น SoC ที่มีโมเด็ม 5G ภายในตัวเลย ไม่เหมือนกับ Snapdragon 865 ที่ถึงแม้จะแรงก็จริง แต่จำเป็นต้องมีชิปโมเด็มแยกเพื่อให้รองรับการใช้งาน 5G
แต่หากอยากได้เรือธง รอปี 2021 เลยดีกว่า ก่อนหน้านี้มีรายงานว่า Snapdragon 875 รุ่นใหม่อาจมาพร้อมกับชิปโมเด็ม 5G ภายในตัวเลยซึ่งอาจทำให้ต้นทุนในการผลิตสมาร์ตโฟนเรือธงที่รองรับ 5G ในปีหน้ามีราคาที่ถูกลงกว่านี้ก็เป็นได้
อ้างอิง ArsTechnica, AndroidCentral
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส