อีกครั้งที่ Google พยายามสร้างผลิตภัณฑ์บริการใหม่ เพื่อแข่งขันกับผู้ให้บริการอื่น อย่างในปี 2011 ที่ Google พยายามออก Google Plus ออกมา เพื่อแข่งกับ Social Media อย่าง Facebook และ Twitter แต่ในที่สุดก็ต้องพับเสื่อกลับบ้าน เนื่องจากไม่ได้รับความนิยมจึงถูกปิดตัวลงในปี 2018
คราวนี้เป็นอีกครั้งที่ YouTube หนึ่งในแพลตฟอร์มที่โดดเด่นที่สุดในเครือของ Google ที่พยายามจะปรับ และผลักดันตัวเองให้ขึ้นมาเป็น Social Network หรือสื่อสังคมออนไลน์ แต่เสียงตอบรับของผู้ใช้งานส่วนใหญ่ยังมอง YouTube ว่าเป็นเพียงแค่แพลตฟอร์มสำหรับแชร์ และแบ่งปันวิดีโอเท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ Google จึงเตรียมออกฟีเจอร์ใหม่เพิ่มลงใน YouTube ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่มีชื่อว่า “Short” สำหรับทำ “คลิปวีดิโอสั้น” เพื่อออกมาชนกับ TikTok ที่กำลังเติบโตอย่างร้อนแรงอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ YouTube พัฒนาฟีเจอร์ใหม่ลงบนแพลตฟอร์มของตัวเองเพื่อรับมือกับคู่แข่งในตลาด เหตุการณ์นี้ไม่ได้ต่างไปกับการที่ Facebook ได้นำฟีเจอร์ที่โดดเด่นของ Instagram มาใส่เพิ่มใน Facebook ทำให้ผู้ใช้งานสามารถปรับเปลี่ยนฟิลเตอร์ หรือโทนสีรูปถ่ายก่อนทำการโพส์ต ซึ่งเป็นลูกเล่นที่สร้าง feedback และเสียงตอบรับที่ดีในหมู่ผู้ใช้งาน
ดังนั้นการเพิ่มฟีเจอร์ “Short” ของ YouTube ในครั้งนี้ ก็เพื่อเอามาสกัดความร้อนแรงของ TikTok ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่มาแรงที่สุดในปี 2020 เพราะเป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสานกันระหว่าง การลิปซิงค์เพลง เข้ากับ โซเชียลมีเดียที่อยู่ในรูปแบบของคลิปวิดีโอขนาดสั้น ซึ่งความยาวเพียงแค่ 15 วินาที – 1 นาที แต่สามารถสร้างการรับรู้ เข้าถึงผู้คนจำนวนมหาศาลได้
(ความเห็นของผู้เขียน: ดูเหมือนยอดวิวและยอดผู้ติดตามจะเพิ่มขึ้นเร็วกว่าเนื่องจาก TikTok ใช้ระบบการแนะนำคลิปใหม่ที่อาศัยระบบ A.i.ช่วยวิเคราะห์ข้อมูล และส่งตรงถึงผู้ใช้งานแต่ละคนแบบเฉพาะเจาะจง)
TikTok กำเนิดขึ้นในประเทศจีน โดยมีบริษัท ByteDance เป็นบริษัทแม่ ซึ่งเป็นบริษัทที่มีชื่อเสียงด้านปัญญาประดิษฐ์ และเทคโนโลยีการเรียนรู้แบบแมชชีนเลิร์นนิ่ง ซึ่งได้นำจุดเด่นนี้มาใช้ ทำให้ TikTok สามารถโต้ตอบกับผู้ใช้งานผ่านเทคโนโลยีวิเคราะห์ภาพขั้นสูง รวมถึงการแนะนำวิดีโอที่โดนใจ ตรงกับความสนใจของผู้ใช้งานด้วยระบบแนะนำวิดีโอใหม่โดยใช้ A.i.ปัญญาประดิษฐ์ คัดเลือกให้ ส่งผลให้ TikTok ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในจีน ก่อนจะขยายความนิยมออกไปทั่วโลก โดยมียอดการดาวน์โหลดผู้ใช้งานใหม่แซงหน้า Facebook และ WhatsApp ขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งบน Google Play store ด้วยยอดดาวน์โหลดสูงกว่า 1.5 พันล้านครั้ง ใน 154 ประเทศ (เฉพาะในจีนก็มียอดผู้ใช้งานสูงกว่า 800 ล้านคน) โดยมีผู้ใช้งานที่ Active ในแต่ละวันมากกว่า 400 ล้านคน!
อย่างไรก็ตาม เหตุผลที่ทำให้ TikTok ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงที่ผ่านมาอาจเป็นเพราะ
- คลิปวิดีโอส่วนใหญ่ เป็นคลิปวิดีโอขนาดสั้นแต่มีลูกเล่นมากมายที่สร้างความตลกขบขัน บันเทิง คลายเครียดให้กับผู้ใช้งาน ที่ต้องอยู่บ้านในช่วง lockdown ผู้ใช้งาน YouTube บางส่วนจึงหันไปใช้แพลตฟอร์มนี้มากขึ้น
- การที่ ศิลปิน ดารา Influencers ผู้มีชื่อเสียงในวงการต่าง ๆ ซึ่งมีผู้ติดตามอยู่เป็นจำนวนมาก ได้หันเข้ามาเล่นใช้งานแนะนำ และแชร์ไปในสื่อโซเชียลมีเดียอื่น ๆ ก็ยิ่งส่งผลให้มีจำนวนผู้เข้ามาทดลองใช้งาน เพิ่มมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว
- ความสั้น และง่ายในการผลิตคลิปวิดีโอ และความฉลาดของโปรแกรมจับภาพเคลื่อนไหวของ TikTok ฯลฯ
- ยอดวิว ยอดผู้ติดตาม การเพิ่มเพื่อน หรือการกดไลค์ กดหัวใจ การแชร์คลิปไปในแพลตฟอร์มอื่นสามารถทำได้ง่าย ทำให้ยอดวิวหรือยอดผู้เข้าชมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับแพลตฟอร์มอื่น
ด้วยความเหนือชั้นของเทคโนโลยี บวกกับจำนวนยอดผู้ใช้งาน TikTok ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ ดังนั้น YouTube จึงต้องทำอะไรซักอย่าง และพวกเขาเริ่มด้วยการเตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ภายในปีนี้ ซึ่งมีชื่อว่า “Short” เพื่อหวังสกัดดาวรุ่งอย่าง TikTok และดึงความสนใจของผู้ใช้งานเก่าให้กลับมา รวมถึงรักษาจำนวนฐานผู้ใช้งานส่วนใหญ่ให้ยังคงอยู่ใน YouTube ของพวกเขาต่อไป
โดยหนึ่งในข้อได้เปรียบของ YouTube ที่เห็นได้ชัดในตอนนี้ คือเรื่องจำนวนของเพลงที่น่าจะมีให้เลือกใช้งานได้มากกว่า รวมถึงเรื่องจำนวนฐานผู้ใช้งานของ YouTube ที่มีขนาดใหญ่ 2 พันกว่าล้านบัญชี รวมไปถึงเรื่องระบบการสร้างรายได้ ที่มีรูปแบบในการแบ่งรายได้ที่หลากหลายช่องทาง ค่อนข้างเป็นรูปธรรมมากกว่า ซึ่งเรื่องเหล่านี้ Influencers, Content Creators ต่างให้ความสำคัญไม่น้อยไปกว่าเรื่องฟังก์ชันการใช้งาน, โปรดักชัน การสนับสนุนจากผู้ให้บริการ และผู้ใช้งานทั่วไป
ทั้งนี้ต้องติดตามดูกันต่อว่า YouTube จะซ่อน ‘หมัดเด็ด’ อะไรไว้ หรือทำฟีเจอร์ ‘Short’ ออกมาได้ดี โดนใจผู้ใช้งานได้มากขนาดไหน? จะใช้งานง่าย มีลูกเล่น หรือมีเทคโนโลยีอะไรที่สดใหม่แรงกว่า TikTok ที่กำลังกอบโกยความนิยมจากทั้งผู้ใช้งาน (และนักการตลาด) แบบฉุดไม่อยู่จากคนทั้งโลกในตอนนี้ แบไต๋ฯ จะติดตาม และอัปเดตเสียงตอบรับหลัง YouTube เปิดตัวใช้งานฟีเจอร์นี้
ที่มาข่าว: Nairametrics
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส