ลือกันว่ารัฐบาลจีนมีแผนจะเลิกใช้เทคโนโลยีของต่างชาติภายในปีค.ศ. 2020
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีเรื่องน่าสนใจอยู่ในสื่อ Bloomberg เกี่ยวกับเรื่องที่ว่า ทางการจีนจะเลิกใช้สินค้าเทคโนโลยีของต่างชาติทุกชนิดในหน่วยงานรัฐบาลและในอุตสาหกรรมหลักของประเทศภายในปี 2020 ซึ่งเหตุผลหลักๆ มาจากเรื่องความปลอดภัย
ก่อนหน้านี้ จีนก็ได้เริ่มปฏิบัติการไปในทิศทางนี้บ้างแล้ว เช่น การแบน Windows 8 จากเครื่องคอมพิวเตอร์ของรัฐบาลจีน หรือแม้แต่ iPad ของ Apple ที่ถูกเด้งออกจากรายชื่อสินค้าจัดซื้อของรัฐบาล
เชื่อว่าจีนจะทำอย่างนั้นได้แน่นอน จีนจะเลิกใช้ทุกอย่างของต่างชาติได้แน่นอน แต่น่าจะเกิดขึ้นหลังจากที่พวกเค้าพัฒนาระบบปฏิบัติการของตัวเองได้ เพราะตอนนี้เครื่องคอมพิวเตอร์ PC ส่วนใหญ่ในประเทศจีนรันอยู่บนระบบปฏิบัติการ Windows XP โดยข้อมูลจากสำนักข่าว Bloomberg รายงานว่า ทางการจีนต้องการจะเปลี่ยนจากการใช้งาน Windows XP และมาใช้งานระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นมาเองภายในประเทศ ที่มีชื่อว่า “NeoKylin” หรือ Linux สัญชาติจีนนั่นเอง โดยที่เจ้า NeoKylin นี้ผ่านการทดสอบเรียบร้อยแล้วในเมืองซื่อผิง (Siping) จีนจึงเริ่มจะมีความหวังว่าจะนำมันมาใช้แทนที่ Windows ได้ในไม่ช้า
แต่การเปลี่ยนระบบปฏิบัติการในเมืองเล็กๆ มันคงไม่เหมือนกันการเปลี่ยนระบบปฏิบัติการให้กับคอมพิวเตอร์ในหน่วยงานต่างๆทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็น หน่วยงานราชการ , ธนาคาร หรือ บริษัทที่เป็นของรัฐบาล เพราะระบบคอมพิวเตอร์ขององค์กรที่กล่าวมาข้างต้นนั้นยังคงต้องพึ่งพาระบบปฏิบัติการ Windows อยู่ไม่น้อยเลย ดังนั้นการจะเปลี่ยนระบบปฏิบัติให้หมดทั่วประเทศนั้นน่าจะใช้เวลานานกว่า 5 ปีแน่ๆ
ประเด็นที่สำคัญกว่านั้น คือ เจ้า NeoKylin นั้น ไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาในจีนตั้งแต่ต้น แต่มันพัฒนามาจากตัวระบบปฏิบัติการ Kylin ที่รัฐบาลจีนใช้งานมานานกว่า 15 ปีแล้ว ซึ่งระบบปฏิบัติการ Kylin นั้น จีนเองก็ไม่ได้เป็นผู้พัฒนาเองมาตั้งแต่ต้น แต่ตัวเวอร์ชั่นแรกๆนั้นเป็นการเลียนแบบมาจากระบบปฏิบัติการของฝั่งสหรัฐอเมริกาที่มีชื่อว่า FreeBSD และหลังจากนั้น รัฐบาลจีนได้เปลี่ยนไปใช้งาน Linux เป็นระบบปฏิบัติการหลัก โดยระบบปฏิบัติการ Kylin เวอร์ชั่นล่าสุดนั้นถูกพัฒนาจากพื้นฐานของระบบปฏิบัติการ อูบุนตู (Ubuntu) ซึ่งบริษัทจากอังกฤษที่มีชื่อว่า Canonical เป็นผู้พัฒนาให้สำหรับประเทศจีน ในความเป็นจริง เจ้า Ubuntu Kylin นั้นก็ยังไม่ถือว่าเป็นระบบปฏิบัติการของจีนได้ เพราะ มันยังไม่ถูกแปลภาษาไปยังภาษาจีนเลย
ยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดว่า NeoKylin กับ Ubuntu Kylin นั้นเหมือนหรือต่างกันยังไง โดยเจ้า Ubuntu Kylin นั้นดูเหมือนจะเป็นซอร์ฟแวร์ตัวใหม่กว่า และชื่อของเจ้า NeoKylin ก็ใช้มาได้สักพักแล้ว ข้อมูลจากบริษัทผลิตซอร์ฟแวร์มาตฐานของจีนอ้างว่าได้เข้าร่วมกันพัฒนา NeoKylin กับทีมจากมหาวิทยาลัย National Defense Science and Technology University ของจีน แต่ไม่มีการพูดถึงบริษัท Canonical เลย
แต่ NeoKylin นั้นยังพัฒนาให้อยู่บนพื้นฐานของ Linux นั่นหมายความว่า ในที่สุดแล้ว ถึงแม้มันไม่ได้ถูกพัฒนาต่อจาก Canonical และ Ubuntu Kylin แล้วล่ะก็ … พวก coding ของระบบปฏิบัติการไม่ได้ถูกพัฒนาในประเทศจีน ซึ่งแน่นอนว่า ความเป็นไปได้การเปลี่ยนแปลงของ Kylin ในอีก 5 ปีข้างหน้านั้นจะเบี่ยงเบนไปทาง Ubuntu Kylin มากกว่า NeoKylin
ยังไงซะ จีนคงต้องการจะเปลี่ยนจากระบบปฏิบัติการของต่างชาติอย่าง Windows มาเป็นระบบปฏิบัติการของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น NeoKylin , Ubuntu Kylin หรืออาจจะเป็น Linux ตัวอื่นๆ แต่ที่แน่ๆ ไม่ใช่ Windows แน่นอน เพราะอย่างที่บอกไว้ตั้งแต่ข้างต้นว่า ความต้องการที่จะเปลี่ยนแปลงมีเหตุผลมาจากเรื่องความปลอดภัยเป็นหลัก นอกจากประเด็นเรื่องความปลอดภัยแล้ว การใช้สินค้าของตัวเองล้วนๆจะยังเป็นอีกหนึ่งแรงในการช่วยผลักดันเศณษฐกิจของประเทศได้อีกด้วย
เรื่องการเปลี่ยนระบบการปฏิบัติการของจีนนั้นไม่ได้มีปัญหาแต่เพียงระบบปฏิบัติการของคอมพิวเตอร์เท่านั้น เพราะปัญหาเรื่องการเลิกใช้งานสินค้าเทคโนโลยีของต่างชาติก็ลามไปถึงอุปกรณ์ประเภท mobile device ด้วย เพราะ ระบบปฏิบัติการ mobile OS ในจีนส่วนใหญ่ตอนนี้ก็พัฒนาจากระบบปฏิบัติการ Android ของ Google
บางทีจีนเองก็คงยังไม่พร้อมมากนัก ที่จะหักดิบ หรือ ยกเลิกการใช้สินค้าเทคโนโลยีของต่างชาติ แต่ถ้ามองๆดูแล้ว มันก็ไม่จำเป็นเท่าไหร่นักสำหรับจีนที่จะต้องรีบเปลี่ยนแปลง เพราะ ตลาดสินค้าเทคโนโลยีในจีนนั่นนับวันยิ่งน่าสนใจและน่าดึงดูดต่างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ทางการจีนสามารถเป็นผู้กำหนดเงื่อนไขที่เข้มงวดขึ้นเรื่อยๆสำหรับบริษัทต่างชาติที่มีความต้องการจะทำธุรกิจที่นั่น
ที่มา : TechInAsia | Bloomberg
รูปจาก : baindaily | importfromchinaonline