ในงาน Apple Event ที่จัดขึ้นในวันนี้ มีการเปิดตัวไลน์อัป iPhone 12 ทั้งหมด 4 รุ่นด้วยกัน ใน 3 ขนาด ตามที่มีข่าวลือก่อนหน้านี้เป๊ะ ๆ โดยแบ่งเป็นรุ่นประหยัด iPhone 12 mini (5.4 นิ้ว) และ iPhone 12 (6.1 นิ้ว) และรุ่นโปร iPhone 12 Pro (6.1 นิ้ว) และ iPhone 12 Pro Max
อย่างที่เดากัน ในคำโปรย “Hi, Speed” iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่น จะรองรับการใช้งานเครือข่ายความเร็วสูง 5G ด้วย ในด้านของการใช้งานจะมีฟีเจอร์ Smart Data Mode เพื่อสลับไปมาระหว่าง 5G และ LTE ในขณะที่ไม่จำเป็นต้องใช้ 5G เพื่อประหยัดการใช้งานข้อมูล
iPhone 12 มีการเปลี่ยนดีไซน์ใหม่อีกรอบ ในส่วนของขอบที่เปลี่ยนเป็นเหลี่ยม เหมือนกับ iPad Pro, iPad Air 4, หรือ iPhone 4 นั่นเอง จอใช้เป็นจอ Super Retina XDR อีกทั้งยังเสริมเกราะป้องกันหน้าจอด้วย Ceramic Shield อีกด้วย
iPhone 12 จะมาพร้อมกับชิปที่เรียกได้ว่าไวและดีที่สุดในตอนนี้ A14 Bionic ขนาด 5nm แบบเดียวกันกับใน iPad Air 4 มี CPU 6 core และ GPU 4 core และใน Nueral Engine เพิ่มเป็น 16 core จากเดิม 8 core สำหรับ Machine Learning
นอกจากนี้ยังมีการประกาศเพื่อสิ่งแวดล้อม เช่นเดียวกับใน Apple Watch ที่เปิดตัวไป จะไม่มีอะแดปเตอร์และหูฟังมาให้ด้วย Apple ให้เหตุผลว่าผู้ใช้ส่วนใหญ่มีอุปกรณ์เหล่านี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นของ Apple เอง หรือจะเป็นของ Third Party ก็ตาม ในส่วนหูฟัง ผู้ใช้ส่วนใหญ่ก็เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ไร้สายกันแล้ว ซึ่งด้วยการนี้เอง กล่องจะสามารถมีขนาดที่บางลงด้วย
ในด้านของการชาร์จ การที่ไม่แถมหัวชาร์จมาให้ Apple ได้นำเสนอวิธีใหม่ในการชาร์จนั่นคือ MagSafe ที่สามารถชาร์จได้ไวถึง 15W ซึ่งเป็นการชาร์จไร้สายแบบแม่เหล็กนั่นเอง โดยมีอุปกรณ์เสริมออกมาในรูปแบบต่าง ๆ รวมถึงแท่นให้สามารถชาร์จได้หลาย ๆ อุปกรณ์พร้อมกันด้วย
ทั้ง 4 รุ่นยังได้รับการรับรองมาตรฐาน IP68 ที่จะสามารถกันน้ำได้ลึกสุดถึง 6 เมตร นานถึง 30 นาที และป้องกันการโดนละอองน้ำ
แต่ถึงแม้การเปิดตัวจะผ่านไปแล้ว สำหรับ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นนี้ไม่ได้มีการเอ่ยถึง Touch ID ที่น่าจะเป็นที่ต้องการของหลาย ๆ คนในตอนนี้ ไม่เหมือนกับ iPad Air 4 ที่มีการฝัง Touch ID ไว้บนปุ่ม Power เราก็ยังคงต้องอยู่กับการใส่ ๆ ถอด ๆ หน้ากากต่อไป ถ้าไม่ต้องการใส่รหัสผ่าน
iPhone 12 mini และ iPhone 12
สำหรับ iPhone 12 mini และ iPhone 12 จะมีการใช้กล้องคู่ Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.4 และ Wide 12 ล้านพิกเซล ƒ/1.6 สามารถซูมแบบ Optical ได้สูงสุดถึง 2 เท่า และ Digital ถึง 5 เท่า มีโหมด Smart HDR 3 เพื่อใช้ Machine Learning ในการปรับแสงและค่าต่าง ๆ ของรูปภาพ และสามารถใช้ Night Mode และ Deep Fusion ได้ในกล้องทุกตัวบน iPhone 12 เอง รวมถึงกล้องหน้าด้วย รวมถึงสามารถทำ Timelapse ใน Night Mode ได้แล้ว และยังสามารถถ่ายวิดีโอ HDR ได้พร้อมกับการแก้ไขวิดีโอได้โดยตรงจากบนเครื่อง
iPhone 12 mini และ iPhone 12 มีวางจำหน่ายใน 3 ความจุ 64GB, 128GB, และ 256GB ใน 5 สี สีดำ, ขาว, แดง, น้ำเงิน, และสีเขียว
- iPhone 12 mini (เปิดจองในวันที่ 6 พฤศจิกายน และวางจำหน่ายในวันที่ 13 พฤศจิกายน)
- 64GB ราคา 699 เหรียญฯ (21,800 บาท)
- 128GB ราคา 749 เหรียญฯ (23,500 บาท)
- 256GB ราคา 849 เหรียญฯ (26,600 บาท)
- iPhone 12 (เปิดจองในวันที่ 16 ตุลาคม และวางจำหน่ายในวันที่ 23 ตุลาคม)
- 64GB ราคา 799 เหรียญฯ (24,800 บาท)
- 128GB ราคา 849 เหรียญฯ (26,600 บาท)
- 256GB ราคา 949 เหรียญฯ (30,000 บาท)
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max
iPhone 12 Pro มีกล้องทั้งหมด 3 ตัว Wide 12 ล้านพิกเซล ƒ/1.6, Ultra Wide 12 ล้านพิกเซล ƒ/2.4 กว้างถึง 120 องศา และ Telephoto พร้อมกับเซ็นเซอร์ LiDAR ที่จะให้ผู้ใช้สามารถสแกนสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้เพื่อทำเป็นโมเดลขึ้นมาเพื่อใช้งาน AR แต่สำหรับ iPhone 12 Pro Max นั้นจะมีเซ็นเซอร์ของเลนส์ Wide ที่ใหญ่ขึ้น 47% ทำให้สามารถถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดีมากขึ้น และเป็นเลนส์ที่ดีที่สุดทั้งใน 4 รุ่น
iPhone 12 Pro มีการรองรับ Apple ProRAW ยกระดับการถ่ายภาพให้มีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น หรือการถ่ายภาพที่ต่อกันหลาย ๆ เฟรม เพื่อนำภาพเหล่านั้นมาประมวลผลเป็นไฟล์ RAW เพื่อสีสันและรายละเอียดภาพที่โดดเด่น และสามารถนำไปประมวลผลต่อได้ในภายหลัง
อีกทั้งยังสามารถถ่ายวิดีโอในรูปแบบ HDR หรือ Dolby Vision HDR ความละเอียดสูงถึง 4K ที่ 60fpsและสามารถแก้ไขฟิลเตอร์ต่าง ๆ ได้จาก iPhone โดยตรงเลยเช่นเดียวกันกับ iPhone 12
iPhone 12 Pro และ iPhone 12 Pro Max มีวางจำหน่ายใน 3 ความจุ 128 GB, 256GB, 512 GB ใน 5 สี สีแปซิฟิกบลู, ทอง, เงิน และกราไฟต์
- iPhone 12 Pro (เปิดจองในวันที่ 16 ตุลาคม และวางจำหน่ายในวันที่ 23 ตุลาคม)
- 128GB ราคา 999 เหรียญฯ (31,000 บาท)
- 256GB ราคา 1,099 เหรียญฯ (34,100 บาท)
- 512GB ราคา 1,299 เหรียญฯ (40,600 บาท)
- iPhone 12 Pro Max (เปิดจองในวันที่ 6 พฤศจิกายน และวางจำหน่ายในวันที่ 13 พฤศจิกายน)
- 128GB ราคา 1,099 เหรียญฯ (34,100 บาท)
- 256GB ราคา 1,199 เหรียญฯ (37,500 บาท)
- 512GB ราคา 1,399 เหรียญฯ (43,800 บาท)
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส