Apple ประกาศวางจำหน่าย iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นในประเทศไทยวันที่ 27 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้แล้ว หากใครยังลังเลระหว่าง iPhone 12 และ iPhone 12 Pro ไม่รู้จะเอารุ่นไหนดีมาลองอ่านบทความนี้กันดูครับ
ดีไซน์
สำหรับดีไซน์ของ iPhone 12 ทั้ง 4 รุ่นนั้นมีความคล้ายคลึงกันคือขอบเหลี่ยม แตกต่างกันชัดเจนที่กล้องหลังแบบ 2 ตัวและ 3 ตัว รวมถึงขอบด้านข้างที่เป็นโลหะและสแตนเลสเท่านั้น ซึ่งเชื่อว่าส่วนใหญ่ซื้อมาใส่เคสแน่ ๆ อยู่แล้วเพราะฉะนั้นด้านข้างก็โดนปิด จะชัดสุดก็แค่กล่องหลังเท่านั้น ซึ่งถ้าใครไม่ซีเรียสเรื่องดีไซน์หรือความรู้สึกว่าต้องเป็นตัวท็อป iPhone 12 ธรรมดาก็ดูดีนะครับ
หน้าจอ
iPhone 12 มีทั้งหมด 4 ขนาดหน้าจอ ได้แก่ iPhone 12 mini หน้าจอขนาด 5.4 นิ้ว, iPhone 12 หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว, iPhone 12 Pro หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว และ iPhone 12 Pro Max หน้าจอขนาด 6.7 นิ้ว ซึ่ง iPhone 12 หน้าจอขนาด 6.1 นิ้ว ความละเอียด 2,532 x 1,170 พิกเซลนั้นก็เรียกว่าสวยงามมากแล้วหลังจากเปลี่ยนมาใช้หน้าจอ OLED เพียงพอต่อการเล่นเกม โซเชียล และใช้งานทั่ว ๆ ไปด้วยความสว่างสูงสุด 625nit ถึงแม้ว่าจะสว่างน้อยกว่า iPhone 12 Pro ที่สว่างสูงสุด 800nit แต่ก็เพียงพอต่อการใช้งานแล้ว
ยกเว้นแต่ว่าเราต้องการจอขนาดใหญ่อย่าง iPhone 12 Pro Max ขนาด 6.7 นิ้วก็ต้องไปรุ่นท็อปเท่านั้นเลยครับ
กล้อง
iPhone 12 ใช้โมดูลกล้องคู่โดยมีกล้องหลักความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/1.6 และกล้องเลนส์มุมกว้างพิเศษความละเอียด 12 ล้านพิกเซล f/2.4 ซึ่งการถ่ายภาพด้วยกล้องของ iPhone 12 นั้นก็ถือว่าทำได้ดี มีฟีเจอร์ Deep Fusion ที่ช่วยยกระดับคุณภาพของการถ่ายภาพในที่แสงน้อยปานกลางได้ดีโดยการถ่ายภาพ short-exposure และ long-exposure จากนั้นจึงประมวลผลนำภาพมารวมกันจนได้ภาพที่ดีที่สุดออกมา
อย่างที่สองคือมี Night mode ที่ถูกพัฒนาให้ถ่ายภาพในที่แสงน้อยได้ดียิ่งขึ้นกว่าเดิม อีกทั้งยังมี HDR video with Dolby Vision ที่ 60fps ด้วยแต่อาจไม่ได้ใช้ในการใช้งานทั่วไปบ่อยเท่าไหร่นัก
จุดแตกต่างที่สำคัญคือ iPhone 12 ไม่มีกล้องซูมซึ่งหากใครไม่ได้ใช้ซูมอยู่แล้วคงไม่มีปัญหาอะไร และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือ LiDAR ที่ไม่มีใน iPhone 12 ช่วยเรื่องการโฟกัสในที่แสงน้อยได้ดี แถมยังช่วยยกระดับการใช้ AR ในแอปต่าง ๆ ได้ทรงประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น แต่เนื่องจากตอนนี้เป็นช่วงแรกของการนำ LiDAR มาใช้ก็อาจยังไม่มีแอปรองรับมากเท่าไหร่นัก ใครไม่ซีเรียสเรื่องซูมและ LiDAR กล้องของ iPhone 12 นั้นก็ถือว่าเพียงพอแล้ว สุดท้ายคือ Apple Pro Raw ที่มีเฉพาะในรุ่นโปรเท่านั้น แต่หากใครไม่ได้นำภาพไปแต่งรูปแบบจริงจังก็บอกเลยว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่นัก
ประสิทธิภาพและความแรง
iPhone 12 ทุกรุ่นมาพร้อมกับชิปประมวลผล Apple A14 Bionic เหมือนกันทุกรุ่น จากการทดสอบผ่าน Geekbench 5 พบว่า iPhone 12 สามารถทำคะแนน Multi-core ได้ 3,891 ส่วน iPhone 12 Pro ทำคะแนน Multi-core ได้ไป 3,822 ซึ่งถือว่าไม่ได้แตกต่างกันมาก หากใครต้องการมาเล่นเกมก็ไม่จำเป็นต้องเลือกถึง iPhone 12 Pro ที่จ่ายแพงกว่าแต่ก็ไม่ได้แรงกว่า iPhone 12 ครับ
แต่จุดแตกต่างที่สำคัญคือ iPhone 12 มีแรมน้อยกว่าที่ 4GB และ iPhone 12 Pro มีแรม 6GB แต่สำหรับการใช้งานทั่วไปนั้น 4GB ก็เพียงพอแล้วเพราะ iOS มีระบบการจัดการที่ดีเป็นทุนเดิม
จุดแตกต่างสำคัญที่สองเลยคือความจุของรุ่นเริ่มต้น iPhone 12 มีความจุเริ่มต้นที่ 64GB น้อยกว่า iPhone 12 Pro ซึ่งเริ่มต้นที่ 128GB ถ้ากรณีใช้งานทั่ว ๆ ไป เก็บรูปไม่มาก เน้นทุกอย่างไประบบ Cloud ความจุ 64GB ก็เพียงพอ แต่ถ้าใครอยากได้ความจุเยอะหน่อยมีสองทางเลือกคือไม่อัปเกรดไปตัวโปรก็ต้องเลือกความจุเยอะขึ้นมาหน่อย
5G
จุดขายสำคัญของ iPhone 12 คือรองรับ 5G แน่นอนว่าการใช้ Apple A14 Bionic พร้อมชิปโมเด็ม Snapdragon X55 5G ที่เหมือนกันนั้นก็ไม่ต้องห่วงเรื่องความแตกต่างระหว่างการใช้ 5G ของ iPhone 12 และ iPhone 12 Pro อย่างแน่นอน ดังนั้น หากใครคิดว่าจ่ายเงินเพื่อ iPhone 12 Pro แล้วจะได้ 5G ที่แรงกว่าก็ต้องเน้นกันชัด ๆ ว่าไม่มีผลนะครับ
การชาร์จและ MagSafe
MagSafe เป็นหนึ่งในคุณสมบัติใหม่ที่เน้นขายพร้อมกับ iPhone 12 เพราะนอกจากจะชาร์จไร้สายได้แล้วยังชาร์จแบบแม่เหล็กได้อีกด้วย ด้านการชาร์จผ่าน MagSafe มีผลที่ไม่แตกต่างกันยกเว้น iPhone 12 mini ที่ชาร์จจาก MagSafe ได้เพียง 12W แต่ในการชาร์จจากสายทั่ว ๆ ไปรองรับชาร์จไวได้ไม่แตกต่างจาก iPhone 12 Pro ซึ่งอยู่ที่เราจะซื้ออะแดปเตอร์เท่าไหร่มาใช้มากกว่า
ราคา
- iPhone 12 mini ความจุ 64GB: ราคาเริ่มต้น 25,900 บาท
- iPhone 12 ความจุ 64GB: ราคาเริ่มต้น 29,900 บาท
- iPhone 12 Pro ความจุ 128GB: ราคาเริ่มต้น 36,900 บาท
- iPhone 12 Pro Max ความจุ 128GB: ราคาเริ่มต้น 39,900 บาท
หากใครคิดว่า iPhone 12 นั้นเพียงพอต่อการใช้งานของเราแล้วก็ปิดบิลด้วยราคา 29,900 บาท แต่หากไม่เพียงพอก็ต้องเพิ่มเงินอีก 7,000 บาทเพื่อแรมที่เพิ่มเข้ามา ฟีเจอร์กล้องที่มากกว่าเดิม ไฟล์ Apple Pro Raw และอีก 10,000 บาทเพื่อ iPhone 12 Pro Max ที่มีหน้าจอขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 6.7 นิ้ว ถือว่าเป็นส่วนต่างที่ค่อนข้างเยอะพอสมควร
อ้างอิง Cult of Mac