หลังจากที่ Apple เคยเปิดตัว iPad Mini ที่มีขนาดเล็กไปแล้ว คราวนี้แอปเปิ้ลขอขยายขนาด iPad ตัวใหม่ให้ใหญ่กว่าเดิม ทรงพลังกว่าเดิม ที่สำคัญมีคีย์บอร์ดกับปากกาขายด้วย!
iPad Pro ถือเป็นผลิตภัณฑ์สายใหม่ของแอปเปิ้ลที่อยู่กึ่งกลางระหว่าง iPad กับ Macbook Pro (จะเรียกว่าแข่งกับ Macbook ก็ได้นะ) โดย iPad Pro มีคุณสมบัติดังนี้
- เป็น iPad ที่ตัวใหญ่ที่สุดตั้งแต่เคยทำมา ขนาดจอ 12.9 นิ้ว เทียบขนาดง่ายๆ ก็คือด้านกว้างของ iPad Pro จะเท่ากับด้านยาวของ iPad Air
- จอมีความละเอียด 2732 x 2048 พิกเซล ซึ่งนับจำนวนจุดได้ 5.6 ล้านพิกเซล มีความหนาแน่นพิกเซลที่ 264 ppi มากกว่า Macbook pro Retina อีก
- มีเทคโนโลยีปรับอัตรา Refrash Rate ของจอให้เหมาะสมกับการแสดงผลด้วย ทำให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้มากขึ้น (แหม๋ ฟังดูคล้ายๆ Nvidia G-Sync กับ AMD FreeSync)
- ที่ประหลาดมากๆ คือมีลำโพง 4 จุดรอบเครื่อง! แถมมีการใช้พื้นที่ว่างด้านในตัวเครื่องเพื่อเป็นกล่องอคูสติกทำให้เสียงดีด้วย
- ใช้ชิป A9X ที่แรงที่สุดในบรรดาอุปกรณ์พกพาทั้งหมดของแอปเปิ้ล แรงขนาดไหนดูตามกราฟได้เลย
- แบตเตอรี่อยู่ได้ 10 ชั่วโมงตามสไตล์ iPad
- แต่หนักใช้ได้เลย โดย iPad Pro หนัก 710 กรัม เทียบกับ iPad ตัวแรกที่ว่าหนักแล้ว ยังหนัก 680 กรัม
- กล้องหลัง 8 ล้านพิกเซล f/2.2 กล้องหน้า 1.2 ล้านพิกเซล (โถ่) f/2.2
- รองรับ Wifi AC และ LTE 150 Mbps
อุปกรณ์เสริมโลกตะลึง (เพราะจ็อบส์เคยบอกไม่เอา)
iPad Pro นั้นมีอุปกรณ์เสริมคู่บุญ (ให้เสียเงินเพิ่ม) 2 อย่างครับคือ
ราคาที่แอบร้องง
iPad Pro มีราคาดังนี้
- 32 GB – $799 (~29,000 บาท)
- 128 GB – $949 (~34,000 บาท)
- 128 Gb + 4G – $1079 (~39,000 บาท)
- Pencil $99 (~3,600 บาท)
- Keyboard $169 (~6,100 บาท)
- เปิดขายพฤศจิกายนนี้ มี 3 สีคือ ขาว เทา ทอง
iPad Pro เหมาะกับใคร
iPad Pro นั้นไม่ได้เหมาะกับทุกคน กลุ่มคนที่เราคิดว่าเหมาะกับ iPad Pro มากที่สุดคือศิลปินที่ต้องการใช้แอปวาดรูปดีๆ ที่อยู่บน iPad และต้องการปากกาที่สร้างขึ้นมาเพื่อ iPad โดยเฉพาะ ส่วนประโยชน์ในแง่มุมอื่นๆ ที่แอปเปิ้ลพยายามนำเสนออย่างการทำงานเอกสาร ทำเว็บ หรือการตกแต่งรูปถ่าย สร้างอาร์ตเวิร์ค เชื่อเถอะว่ากำเงินไปซื้อ Macbook จะทำงานได้ดีกว่า (ถ้าซื้อเป็น Macbook Air ที่ความจุ 128 GB เท่ากับ iPad Pro ยังถูกกว่าเลย) เพราะ iPad Pro เมื่อรวมกับปกคีย์บอร์ดและ Pencil นั้นมีราคาแพงมาก ตีกลมๆ ก็ 45,000 สำหรับรุ่น wifi และ 50,000 สำหรับรุ่น 4G แต่การใช้งานด้าน Productive หนักๆ ยังสู้โน้ตบุ๊กจริงๆ ไม่ได้แน่นอน
ใครจะซื้อ iPad Pro มาใช้ขำๆ ก็เชิญเถอะครับ
แถมท้าย
ในงานนี้แอปเปิ้ลยังได้เปิดตัว iPad Mini 4 ด้วย (และเลิกขาย Mini 3 ไปแล้ว) โดยสรุปง่ายๆ คือเอาหน้าตาและจอของ iPad Mini 2 มาใส่ชิป A8 ใกล้เคียงกับ iPad Air 2 ก็ทำให้ใครที่สนใจ iPad mini ก็มีตัวเลือกที่น่าสนใจขึ้น