ในงาน CES 2016 นอกจาก Nikon จะเปิดตัว Nikon D5 และ Nikon KeyMission 360 แล้ว กล้องอีกตัวที่ทำให้มือโปรในฝั่งเซนเซอร์ขนาด APS-C กรี๊ดกันได้คือ Nikon D500 ครับ ที่ยกเอาเทคโนโลยีล่าสุดหลายอย่างจากรุ่นพี่ D5 มาใส่ไว้ด้วย
Nikon D500 เป็นกล้องตัวต่อจาก Nikon D300S ที่ออกตั้งแต่กลางปี 2009 (หู้วววว์) โดยจัดเป็นกล้องซี่รี่ย์สูงกว่า D7200 ในปัจจุบัน และเป็นเรือธงของกล้องที่ใช้เซนเซอร์ขนาด DX (APS-C) ของนิคอนแล้ว
จุดเด่นของ D500 คือยกเอาโมดูลโฟกัสภาพ Multi-CAM 20K จาก Nikon D5 มาใช้ ซึ่งมีจุดโฟกัส 153 จุด พร้อมเซนเซอร์วัดแสง RGB ความละเอียด 180,000 พิกเซล ทำให้สามารถโฟกัสวัตถุเคลื่อนที่ได้รวดเร็ว สามารถถ่ายภาพต่อเนื่องได้ 10 ภาพต่อวินาที
ส่วนของเซนเซอร์ D500 สามารถถ่ายภาพความละเอียด 20.9 ล้านพิกเซล โดยใช้หน่วยประมวลผล EXPEED 5 ตัวเดียวกับ D5 รองรับ ISO 100 – 51,200 แต่สามารถลดให้ต่ำสุดเหลือ ISO 50 และสูงสุด ISO 1,640,000 และสามารถถ่ายวิดีโอในระดับ 4K ได้ด้วย
รายละเอียดอื่นๆ ของ Nikon D500
- จอสัมผัสขนาด 3.2 นิ้ว ความละเอียด 2.4 ล้านพิกเซล
- กล้องทำจาก magnesium alloy พร้อมซีลป้องกันสภาพอากาศ
- การันตีซัตเตอร์ทนทาน 200,000 ครั้ง
- รองรับ SD และ XQD Card
- มี Wifi ในตัว และมีฟังก์ชั่น SnapBridge เพื่อส่งภาพ
- หนัก 860 กรัม (ไม่รวมเลนส์)
- ราคาตัวบอดี้ $1,999.95 (ราคาไทยน่าจะเป็น 69,900 บาท) เริ่มวางจำหน่ายเดือนมีนาคมนี้
SnapBridge
SnapBridge เป็นเทคโนโลยีใหม่ของ Nikon ที่จะเริ่มติดตั้งในกล้องที่ออกปี 2016 เป็นต้นไป โดยเริ่มต้นจาก D500 ซึ่งจะเป็นการเชื่อมต่อสมาร์ทโฟนกับกล้องผ่าน Bluetooth Low Energy ซึ่งจะทำให้กล้องสามารถส่งภาพไปยังโทรศัพท์ได้ทันทีที่กดซัตเตอร์โดยไม่ต้องมาเปิดแอปเพื่อโอนทีละภาพเหมือนเดิม
นอกจากนี้การที่สมาร์ทโฟนกับกล้องเชื่อมต่อไร้สายกันตลอด (ไม่ได้กินไฟมากนักเพราะใช้ Bluetooth 4.0) ทำให้กล้องสามารถดึงข้อมูลสถานที่และเวลาจากมือถือไปใช้ได้ รูปภาพที่ถ่ายออกมาก็จะมีข้อมูลสถานที่อยู่ในไฟล์ พร้อมฝังข้อมูลลิขสิทธิ์ลงไปได้ด้วย
แน่นอนว่า SnapBridge ยังสามารถใช้เป็นรีโมทสั่งลั่นกล้อง แชร์รูปขึ้นเน็ตได้ด้วย