ทีมงานแบไต๋ ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ คุณธนวัฒน์ สุธรรมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไมโครซอฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด ในโอกาสครบรอบ 5 ปี หลังจากรับตำแหน่ง ซึ่งได้วางเป้าหมายภายใต้คอนเซ็ปต์ ‘Born in Thailand’ สร้างคน สู่อนาคต เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า (Empowering Thailand’s Futuremakers)
ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ไมโครซอฟท์และวงการเทคโนโลยีในภาพใหญ่ได้ร่วมกันขับเคลื่อนให้ Cloud ให้กลายเป็นหนึ่งในมาตรฐานใหม่ในการทำธุรกิจทั่วโลก ทั้งยังเปิดให้เทคโนโลยีใหม่ ๆ ได้เข้ามามีบทบาทเชื่อมโยงโลกปัจจุบันเข้ากับอนาคต แบ่งออกเป็น 4 เทคโนโลยีใหญ่สำคัญ ได้แก่ Metaverse , AI, Quantum Computing และ Hybrid Work
โดยเทคโนโลยีทั้ง 4 ด้าน ถูกจับคู่ใช้งานร่วมกัน ได้แก่ Metaverse กับ Hybrid Work พบว่า เวลาประชุมออนไลน์ทั่วโลกเพิ่มขึ้นกว่า 250% และเฉพาะข้อมูลในไทย กว่า 59% เปิดใจรับการประชุมเสมือนใน Metaverse มากขึ้น ส่วนการจับคู่ AI กับ Quantum Computing ได้ลองนำมาใช้แก้ปัญหาการจราจรในเมืองซีแอตเทิล รัฐวอชิงตัน สหรัฐอเมริกา พบว่า รถติดน้อยลง 73% ลดเวลาเดินทางได้ 55,000 ชั่วโมงต่อปี
ทั้งหมดนี้ นำไปสู่โจทย์ใหญ่ว่า ทำอย่างไรให้ประเทศไทย ก้าวจาก “Made in Thailand” ไปสู่ “Born in Thailand”? คุณธรวัฒน์ จึงมองว่า ต้องแบ่งภาพกิจการออกเป็น 3 ด้านหลัก ภายใต้แนวคิด “สร้างคน สู่อนาคต เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า”
สร้างคน ทักษะเชิงดิจิทัล และการเรียนรู้ในทุกระดับ
Microsoftตั้งเป้าหมายสร้างทักษะให้คนไทย 10 ล้านคน ภายในปี 2024 โดยมีกิจกรรมและโครงการที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องมากมาย เช่น
- โครงการพัฒนาทักษะดิจิทัลเพื่อการจ้างงาน (Accelerating Thailand) ที่ก้าวเข้าสู่เฟส 2 ด้วยเป้าหมายในการยกระดับทักษะให้คนไทย 180,000 คน หลังจากที่ในรอบปีที่ผ่านมา ได้พัฒนาทักษะไปกว่า 280,000 คนในเฟสแรก ช่วยให้ 14,000 คนมีความเป็นอยู่ดีขึ้น 4,500 คนมีโอกาสเติบโตในสายอาชีพ 4,500 คนมีรายได้เพิ่มขึ้น และ 1,900 คนได้ประกอบอาชีพใหม่
- Microsoft Cloud Squad การรวมตัวของผู้สนใจและคนทำงานในสายเทคโนโลยี ทั้ง Cloud, Data, AI, Security และด้านอื่น ๆ ให้มาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญกัน พร้อมด้วยคอร์สฝึกสอน Fundamentals Training ที่ปูพื้นฐานความรู้ในด้านเหล่านี้ให้แน่น โดยมีผู้ได้ร่วมเรียนรู้ไปกับไมโครซอฟท์แล้วเกินกว่า 20,000 ราย
- Microsoft Founders Program โครงการที่มุ่งต่อยอดศักยภาพของสตาร์ทอัพไทย มอบความเชี่ยวชาญระดับโลกและทรัพยากรสนับสนุนจากไมโครซอฟท์ พร้อมโอกาสในการทำตลาดร่วมกัน
- เร็ว ๆ นี้กับ Microsoft LearningVerse พื้นที่แห่งการเรียนรู้ในโลกดิจิทัล ที่รวมทุกแหล่งความรู้และผู้เชี่ยวชาญจากเครือข่ายของไมโครซอฟท์มาไว้ในที่เดียว
สู่อนาคต ด้วยเทคโนโลยีเสริมศักยภาพในการคิดและสร้างสิ่งใหม่ๆ
ไมโครซอฟท์นำเสนอเทคโนโลยีในหลากหลายด้านที่ตอบสนองความต้องการด้านนวัตกรรมของธุรกิจในยุคนี้ ไม่ว่าจะเป็น
- การปรับ Hybrid Work ให้เวิร์ก (Making Hybrid Work work) โดยการใช้ Microsoft Viva ยกระดับประสบการณ์ในองค์กร ให้ทุกคนทำงานได้ดีที่สุด เข้าถึงทรัพยากรและข้อมูลภายในองค์กรได้ครบมือและคล่องตัว เข้าใจในพฤติกรรมการทำงานของตัวเองมากกว่าที่เคย และนำความรู้ความเข้าใจทั้งหมดนี้มาสอดแทรกไว้ในชีวิตการทำงานแต่ละวันอย่างลงตัว ล่าสุดเปิดตัวโซลูชันใหม่ Viva Goals ที่เพิ่งเปิดใช้งานเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม สำหรับการวางเป้าหมายและติดตามผลในองค์กร ตามแนวคิดแบบ OKR (Objective and Key Results)
- สร้างสรรค์นวัตกรรมได้ทุกคน ทุกหนแห่ง (Innovate anywhere) กับนวัตกรรมมากมายบนคลาวด์ Microsoft Azure ไม่ว่าจะเป็น การสร้างแอปพลิเคชันแบบ low-code ที่มีฟีเจอร์ Power Apps express design แค่วาดรูปได้ก็ดีไซน์แอปได้ ด้วย AI ที่สร้างหน้าตาของแอปขึ้นมาจากภาพที่เห็นโดยอัตโนมัติ นอกจากนี้ ยังมีฟีเจอร์ Power Pages สร้างเว็บไซต์และบริการออนไลน์ผ่านหน้าเว็บที่พร้อมใช้งานในเวลาอันสั้น และ GitHub Copilot AI ผู้ช่วยเขียนโค้ดสำหรับนักพัฒนา
ทั้งนี้ ในปี 2021 ไมโครซอฟท์ได้เปิดตัวบริการใหม่ ๆ บน Azure ถึง 1,100 บริการ หรือคิดเป็นวันละ 3 บริการ เพื่อให้นักพัฒนามีเครื่องมือพร้อมสรรพ นำไปประยุกต์ใช้งานได้ทันทีโดยไม่ต้องเริ่มต้นจากศูนย์ และเตรียมเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ อีกในอนาคต
- ในด้านความปลอดภัย (Secure your future) ข้อมูลล่าสุดเผยว่าในรอบ 30 วันที่ผ่านมา มีอุปกรณ์ในไทยถึง 1,249,442 เครื่องที่ตรวจพบมัลแวร์ ขณะที่ปัจจุบัน ไมโครซอฟท์เป็นผู้นำระดับโลกด้านความปลอดภัยที่ปกป้ององค์กรถึง 785,000 รายใน 120 ประเทศ วิเคราะห์สัญญาณอันตรายในโลกดิจิทัลถึง 24 ล้านล้านรายการต่อวัน และบล็อกภัยร้ายที่แพร่กระจายทางอีเมลได้ถึง 32,000 ล้านครั้งในปีที่แล้ว นอกจากนี้ เรายังติดตามความเสี่ยงจากกลุ่มอาชญากรไซเบอร์และผู้ประสงค์ร้ายที่สนับสนุนโดยภาครัฐของบางประเทศอีกด้วย โดยไมโครซอฟท์ รายได้จากด้าน Security สูงถึง 12,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปีที่ผ่านมา และเตรียมลงทุนอีก 20 ล้านเหรียญสหรัฐในด้านนี้อีก
เพื่อประเทศไทยที่ดีกว่า ร่วมมือกับทุกภาคส่วนนำเทคโนโลยีสร้างความเปลี่ยนแปลงที่สัมผัสได้
โดยเทคโนโลยีที่กล่าวมาทั้งหมด ได้นำไปพัฒนาและร่วมมือกับบริษัทต่าง ๆ เช่น เอไอเอส , การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) , ปตท. , ธนาคารกสิกรไทย , ธนาคารไทยพาณิชย์ , เอสซีจี , บ้านปู เน็กซ์ และสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เป็นต้น
นอกจากนี้ ยังได้นำโซลูชัน Cloud for Sustainability มาเริ่มปรับใช้กับหลายองค์กรในประเทศไทย เพื่อให้ทุกภาคส่วนร่วมกันเดินหน้าสู่เป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน (carbon neutral) ภายในปี 2050 และก้าวสู่สถานะ Net Zero เต็มตัวในปี 2065
เพิ่มการจ้างงาน 20-30% ภายในปีนี้
ก่อนหน้านี้มีข่าวว่า ไมโครซอฟท์ เตรียมชะลอการจ้างงานในหลายแผนก เนื่องจากกังวลภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Economic Resession) โดยคุณธนวัฒน์ ระบุว่า เรื่องนี้ไม่เกิดขึ้นกับ ไมโครซอฟท์ ประเทศไทย เนื่องจากมีแผนการจ้างงานเพิ่ม 20-30% ในปีงบประมาณนี้ (ปีงบประมาณไมโครซอฟท์ กรกฏาคม-มิถุนายน)
โดยมุ่งเป้าเพิ่มพนักงานใน 2 ส่วนงานหลัก ได้แก่ Customer Sucess Unit ที่จะช่วยประสานงานลูกค้าทำ Digital Adoption ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีได้อย่างเต็มที่ และอีกทีมคือ Solution ในส่วนของ Security ป้องกันไม่ให้ลูกค้าเกิดปัญหา Cyber Attack ได้ ทั้งนี้หากลดการจ้างงานในภาวะเศรษฐกิจถดถอย หากความต้องการของตลาดกลับมา อาจจะทำให้บุคลากรไม่เพียงพอ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส