หลังจากเป็นข่าวเกรียวกราวไปเมื่อสัปดาห์ก่อนจากกรณีของนายพันธ์สุธี มีลือกิจ พ่อค้าเครื่องประดับยนต์ถูกมิจฉาชีพใช้เอกสารปลอมเปิดซิมการ์ดใหม่เพื่อเข้าถึงบัญชีธนาคารและกวาดเงินไปร่วมล้านบาท ล่าสุดธ.กสิกรไทย หนึ่งในสองบริษัทที่เกี่ยวข้อง รับผิดชอบต่อความเสียหายนี้ และคืนเงินในบัญชีของนายพันธ์สุธีเต็มจำนวน 986,700 บาท
โดยเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม พร้อม นายพันธุ์สุธี ผู้เสียหาย เข้าพูดคุยกับกับตัวแทนธนาคารกสิกรไทย สำนักงานใหญ่ ก่อนที่ทางธนาคารจะออกเช็คคืนเงินทั้งหมดให้นายพันธุ์สุธี
ธนาคารกสิกรไทยยืนยันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่การแฮคระบบไอทีของธนาคาร แต่เป็นการใช้ช่องทางภายนอกเพื่อทำทุจริตต่อลูกค้าธนาคาร (Social Engineering) ซึ่งธนาคารกสิกรไทยในฐานะผู้ให้บริการก็มีหน้าที่รับผิดชอบส่วนหนึ่งเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุนี้กับลูกค้ารายอื่นๆ และร่วมกับธนาคารอื่นเพื่อปิดช่องโหว่ในการให้บริการเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาลักษณะนี้ขึ้นอีก
กรณีนี้ทำให้เห็นว่าหมายเลขประจำตัวประชาชน 13 หลักสำคัญมาก
ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรมขอฝากเตือนผู้ใช้คนอื่นๆ ว่าการส่งสำเนาบัตรประชาชนกับใคร ควรจะปิดหมายเลขบัตร 13 ตัว และเลขสำคัญในบัตรอย่างวันเดือนปีเกิด และที่หลายคนอาจจะยังไม่รู้คือบาร์โค้ดที่อยู่ข้างบัตรประชาชนนั้นสามารถสแกนออกมาเป็นเลข 13 ตัวได้ด้วย ก็ควรบังบาร์โค้ดนี้ด้วย
ซึ่งในวันจันทร์ที่ 22 สิงหาคมนี้กสทช. ได้เชิญนายพันธ์สุธีและตัวแทนจากทรูเพื่อเข้าพบ และหารือถึงการเยียวยาต่อไป
อ่านข่าวเก่า สรุปขั้นตอนว่าโจรขโมยเงินไปได้อย่างไร
เตือนภัย!! คนร้ายปลอมแปลง “สำเนาบัตรประชาชน” ขโมยเงินในบัญชีเกลี้ยง!!
ที่มา: ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม