สมาคมการค้าสตาร์ตอัปไทย เผยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นไปที่การแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจที่สตาร์ตอัปกำลังเผชิญอยู่ โดยเน้นให้ทางภาครัฐเข้ามาสนับสนุน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการแข่งขันในสิ่งที่ถูกเรียกว่าเป็น ‘สงครามล่าอาณานิคมแบบไม่ใช้กำลัง’ เพื่อให้สตาร์ตอัปไทยสามารถ ‘Pioneers New Economy’ นำพาประเทศเข้าสู่เศรษฐกิจใหม่ที่ยั่งยืน
การต่อสู้กับสงครามที่มองไม่เห็น
นายธนวิชญ์ ต้นกันยา นายกสมาคมการค้าสตาร์ตอัปไทยคนปัจจุบัน กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยอยู่ในภาวะที่เรียกว่าเป็นสงครามล่าอาณานิคมแบบไม่ใช้กำลัง โดยการเข้ามาของธุรกิจต่างประเทศ ที่เม็ดเงินของไทยไหลออกไปอยู่ต่างประเทศทั้งหมด โดยวิสัยทัศน์ของสมาคมฯ นั้น ได้เน้นย้ำให้ธุรกิจมองหาโอกาสใหม่ ๆ ในการต่อสู้ทางธุรกิจ โดยเฉพาะการเข้าสู่ตลาดที่ยังสามารถแข่งขันได้ เช่น AI, Biotechnology, Food Tech เป็นต้น
โดยทางสมาคมได้มีการเริ่มดำเนินการเกี่ยวกับสตาร์ตอัปในไทยแล้ว โดยเริ่มจากการทำ Thai Startup Directory คือการทำสารบบของสตาร์ตอัปในประเทศไทย เพื่อให้สามารถค้นหาได้โดยง่าย และให้นักลงทุนเข้ามาลงทุนเพิ่มได้ผ่านเว็บไซต์ของสมาคมสตาร์ตอัปไทยเอง – data.thaistartup.org ต่อด้วยการเพิ่มขีดความสามารถ (Capability) ด้วยการเพิ่มความรู้ความสามารถให้กับธุรกิจสตาร์ตอัป ผ่านการพัฒนาหลักสูตรสำหรับสตาร์ตอัปให้เรียนได้แบบออนไลน์ ทั้งออกแบบหลักสูตร, นำเนื้อหาที่มีมาจัดเรียงใหม่ และพัฒนาเนื้อหาที่ขาดหายไป เพื่อให้คนมีความรู้ และความสามารถมากขึ้น
อีกส่วนคือ Member Benefit ที่ทางสมาคม ได้เปิดตัวเว็บไซต์ thaistartup.org ขึ้นมาใหม่ทั้งหมด เพื่อให้มีระบบ Membership สำหรับสมาชิกสมาคม ในการรับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม มูลค่ารวมกว่า 4,000,000 บาท ผ่านการร่วมมือกับทางพาร์ตเนอร์ และ Primo ที่ทำระบบให้กับทางสมาคมด้วย (เข้าได้ผ่านเว็บไซต์ของ Thai Startup ที่ออกแบบมาใหม่) ได้ด้วย
ข้อเสนอที่สมาคมฯ แนะนำให้รัฐทำ
แต่อีกส่วนที่สำคัญคือส่วนที่จะต้องให้ทางภาครัฐ ร่วมมือกับทางสมาคม เพื่อให้ขีดความสามารถดียิ่งขึ้นกว่าเดิม นั่นคือนโยบายจากภาครัฐ ซึ่งนอกจาก ‘พรบ. Startup’ ที่เคยผลักดันมาแล้ว ยังมีข้อเสนอ 7 ข้อสำคัญต่อภาครัฐผ่านภารกิจสมาคม 3 ด้าน (Manpower, Money, Market)
ทางสมาคมฯ เชื่อว่าประเทศไทยสามารถใช้จุดแข็งในด้านสุขภาพ อาหาร และการท่องเที่ยว ในการสร้างความได้เปรียบในตลาดโลกซึ่งเป็นภาคส่วนที่สตาร์ตอัปไทยสามารถ สร้างความโดดเด่นเหนือคู่แข่งต่างชาติได้
โดยข้อเสนอทั้ง 7 ข้อนั้นประกอบไปด้วย
Manpower (กำลังคนด้านดิจิทัล)
1. ควรเน้นการพัฒนาทักษะดิจิทัลและเทคโนโลยีสำหรับบุคลากร เพื่อให้เกิดการสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีที่สามารถตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในตลาดโลก ทั้งนี้ควรมีการสนับสนุนด้านการศึกษา การฝึกอบรมและการจัดโปรแกรมเร่งรัดความรู้ด้านดิจิทัลที่สอดคล้องกับความต้องการของอุตสาหกรรม
Money (การสนับสนุนด้านการเงิน)
2. เงินลงทุน: ควรจัดสรรเงินทุนให้เทียบเท่ากับประเทศชั้นนำอย่างสิงคโปร์ ซึ่งจัดสรรเงินลงทุนสูงถึง 200 ล้านบาทต่อบริษัท ผ่านกองทุน Matching Fund ที่ร่วมลงทุนกับนักลงทุนที่ได้รับการรับรอง
3. เงินกู้: ควรมีการให้กู้ยืมแบบไม่ต้องมีสินทรัพย์ค้ำประกัน ผ่อนชำระ 5 ปี วงเงินสูงสุด 13 ล้านบาทต่อบริษัท
4. เพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน: ควรบังคับใช้กฎหมาย Credit Term Guideline อย่างเคร่งครัด โดยกำหนดให้บริษัทใหญ่ต้องชำระเงินแก่คู่ค้าไม่เกิน 45 วัน โดยนโยบายนี้ไม่ต้องใช้เงินภาษีประชาชน
5. PO Financing: ใช้ใบสั่งซื้อเป็นหลักค้ำประกันเงินกู้ เพื่อเพิ่มสภาพคล่องให้ธุรกิจ
Market (การเข้าถึงตลาด)
6. ผลักดันสู่ตลาดต่างประเทศ: ควรผลักดันสตาร์ตอัปไทยเข้าสู่ตลาดต่างประเทศผ่านเครือข่ายทูตพาณิชย์ทั่วโลก เพื่อเปิดโอกาสให้ธุรกิจไทยเติบโตในตลาดสากล
7. Thailand First: ควรกำหนดสัดส่วนงบประมาณด้านไอทีที่ต้องใช้ซื้อสินค้าหรือบริการจากสตาร์ตอัปไทย เพื่อส่งเสริมการเติบโตของธุรกิจภายในประเทศ เหมือนกับที่เคยมีในสิงคโปร์
ทั้งนี้ ภารกิจของสมาคมการค้าสตาร์ตอัปไทยนั้น ก็เพื่อปกป้องอนาคตเศรษฐกิจของประเทศไทย โดยการเสริมสร้างศักยภาพของสตาร์ตอัปไทยให้สามารถแข่งขันในตลาดโลกได้ในสงครามล่าอาณานิคมแบบไม่มีการใช้กำลังครั้งนี้ โดยมุ่งมั่นที่จะให้สตาร์ตอัปไทยไม่ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แต่ได้รับการสนับสนุนและทรัพยากรที่จำเป็นเพื่อให้เติบโตอย่างยั่งยืน ‘Pioneers New Economy’ สำหรับประเทศไทยต่อไป