แสนสิริผู้พัฒนาอลังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของไทย เผยแผนขยายการรับรู้สู่ผู้ใช้ Social Network ทั่วโลก โดยเจาะตลาดต่างประเทศหลักคือฮ่องกง, ไต้หวัน, สิงคโปร์, จีน และญี่ปุ่น หลังยอดขายจากต่างประเทศในปีที่ผ่านมาเติบโตขึ้นมาก
เทรนด์ดิจิทัลที่แสนสิริจับตา
Power of mobility
จากข้อมูลวิจัยบอกว่าคนรอเนื้อหาแค่ 3 วินาที ถ้านานกว่านี้ผู้ใช้มากกว่า 53% จะหายไป แสนสิริเลยเริ่มใช้เทคโนโลยี AMP ของ Google เพื่อให้โหลดหน้าเว็บได้เร็วขึ้น โดยพัฒนาไปกว่าเว็บ Responsive ที่ปรับขนาดเว็บตามขนาดจออุปกรณ์ได้ ทำให้ Conversion Rate สูงขึ้น (อัตราความสำเร็จในการสมัคร หรือเข้าไปยังหน้าที่ต้องการ)
นอกจากนี้เรื่อง Geolocation ยังเป็นเรื่องสำคัญ เพราะการเจาะจงการลงโฆษณาให้ตรงตำแหน่งของผู้ใช้มากขึ้นจะทำให้โฆษณาตรงกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น ประสบความสำเร็จมากขึ้น และแสนสิริจะนำเทคโนโลยี beacon มาใช้ด้วย ทำให้สามารถระบุตำแหน่งในอาคารได้ละเอียดขึ้น ซึ่งตอนนี้มีหลายค่ายทั้ง apple, LINE, Google ก็มีเทคโนโลยีนี้ ทำให้สามารถส่งข้อความหาผู้ใช้แอปเหล่านี้ได้เลย
และที่ขาดไม่ได้ในเรื่องโมบายคือ VR โฟกัสไปที่ประสบการณ์มากขึ้น ไม่ใช่แค่การมองอย่างเดียว แต่เป็นการเดินไปมาในระดับ Room Scale อย่างการชมห้องตัวอย่างที่ให้ประสบการณ์ได้ดีขึ้น (คิดไม่ออกลองดูวิดีโอโดเรมอนด้านล่างนี้เลย)
Data Tracking
เป็นสิ่งที่ต้องทำสำหรับทุกแบรนด์ เมื่อก่อนแบรนด์จะใช้ข้อมูลที่เก็บจากบริษัทภายนอก แต่ตอนนี้แบรนด์จะเริ่มเก็บเอง เพื่อสร้าง custom audience หรือกลุ่มผู้เข้าถึงแบบเฉพาะเจาะจง ค้นหาผู้ใช้ที่จะเปลี่ยนเป็นลูกค้าของแบรนด์ แต่สิ่งที่สำคัญคือความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ จึงควรมีทางเลือกให้ผู้ใช้เข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมการรับข่าวสารได้
Innovation
- Chat bot เพราะลูกค้าต้องการคำตอบแบบทันทีทันใด แม้ว่าจะไม่ใช่เวลาทำงาน Chat Bot จึงเข้ามาช่วยตรงนี้ ในการตอบเบื้องต้นก่อน และเก็บข้อมูลสิ่งที่ลูกค้าต้องการมาวิเคราะห์ต่อ
- Voice Activate ผู้ช่วยส่วนบุคคลที่ฉลาดขึ้น มีความสามารถในการเข้าใจภาษามนุษย์มากขึ้น
- IoT ผู้ใช้ต้องการแค่เทคโนโลยีที่เข้ามาช่วยให้ชีวิตสบายมากขึ้น ไม่ได้ต้องการรู้ว่าเป็นเทคโนโลยีอะไร
- Smart Home อุปกรณ์ที่ฉลาดขึ้น สามารถช่วยจัดการ สั่งข้าวของได้
- การค้นหา facebook กำลังพัฒนาการค้นหาที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น กลายเป็นคู่แข่งของของ Google, Yahoo รวมถึง Facebook video ก็กลายเป็นคู่แข่งกับ Youtube
สิ่งที่แสนสิริกำลังก้าวไป
ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา แสนสิริบุกตลาดต่างชาติเยอะมาก มีการจับมือกับบริษัทต่างๆ อย่าง BTS ที่มีธุรกิจในฮ่องกงอยู่แล้ว ทำให้เข้าสู่ตลาดนี้ได้ง่ายขึ้น ซึ่งตลาดฮ่องกงค่อนข้างใหญ่สำหรับแสนสิริ ทุกโครงการจะไปเปิดที่ฮ่องกงเป็นประเทศแรกๆ
นอกจากนี้ยังพัฒนา digital marketing เพื่อรุกกลุ่มต่างประเทศมากขึ้น ปีนี้แสนสิริขยายเฟซบุ๊กออกไปอีก 4 ภาษา มีเฟซบุ๊กเพจสำหรับฮ่องกง, สิงคโปร์, ไตัหวันและแบบ International โดยตั้งเป้าไปให้ได้ 100,000 ไลค์จากต่างชาติ (จากที่มี 1 ล้านไลค์ในไทยอยู่แล้ว) โดยมีงบ 300 ล้านสำหรับการตลาดดิจิทัล เพื่อดันยอดขายจากต่างประเทศให้ได้ 8,000 ล้านบาทในปีนี้
ผู้บริหารของแสนสิริเล่าว่าคนไทยใช้เวลาประมาณ 5 เดือนในการตัดสินใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ แสนสิริจึงมีการใช้สื่อหลายรูปแบบเพื่อกระตุ้นการตัดสินใจในแต่ละระยะ เช่นในระยะแรกของการตัดสินใจ สื่อจะเป็นลักษณะวิดีโอโปรโมท ภาพ 360 องศากระตุ้นความสนใจ ส่วนระยะต่อๆ มาที่ผู้บริโภคเริ่มตัดสินใจซื้อโครงนั้นแล้ว ก็จะไปเน้นสื่อจากผู้เชี่ยวชาญ รีวิวเจาะลึกต่างๆ เพื่อสนับสนุนให้คนตัดสินใจจอง ประเด็นเรื่องการ Targeting สื่อให้เหมาะกับผู้ซื้อจึงสำคัญ
และแสนสิริยังมีมี Social media Warroom เพื่อพิจารณาว่าเนื้อหาที่ปล่อยออกไป ผู้ใช้ชอบหรือไม่ชอบอย่างไร เพื่อแก้ไข ปรับปรุง และเข้าไปจัดการปัญหาที่กำลังเกิดขึ้น