หัวเว่ย พาทีมงานแบไต๋ชมงาน Mini Mobile World Congress 2017 โดยการนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในงาน #MWC2017 มาเปิดเผยให้ชมกันอีกครั้งแบบเป็นกันเอง
ซึ่ง มร. สตีเว่น หวง รองกรรมการผุ้จัดการ และประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคนิค บริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยี่ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า เขาตั้งใจต้อนรับผู้เกี่ยวข้องจากทุกภาคส่วนที่จะมาร่วมงานนี้ เพื่อร่วมแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับยุทธศาสตร์หลัก ๆ และแม่แบบการดำเนินงานในอนาคต เป้าหมายของเขาคือการช่วย Operator ในไทยรวมไปถึงประเทศอื่น ๆ ให้สามารถเห็นช่องทางการเพิ่มผลประกอบการและต่อยอดวงจรธุรกิจในอนาคต ซึ่งเขาก็ได้นำเทคโนโลยีล่าสุดที่มีมาแนะนำให้ได้ชมกันดังนี้
IoT หรือ Internet of Thing
ส่วนแรกคือ IoT หรือ internet of things ซึ่งปัจจุบันเริ่มมีการ implement หรือนำมาใช้งานมากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วกว่า 60% โดยแบ่งออกเป็นหลายหมวดหมู่ด้วยกันตั้งแต่ Utility หรืออุปกรณ์ใช้งานภายในบ้าน Smart City รถยนต์ บ้าน รวมไปถึงอุปกรณ์การตรวจจับความเคลื่อนไหว ร้านค้า สุขภาพ หรือแม้แต่ในส่วนของลิฟท์ ก็จะมีอุปกรณ์ IoT ขึ้นมา
Internet ระดับ 5G
ในส่วนของเรื่องอินเทอร์เน็ต ทางหัวเว่ยก็ได้นำเสนอในส่วนของอินเทอร์เน็ตระดับ 5G ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นยุคใหม่ของอินเทอร์เน็ตในอนาคตอันใกล้ เพื่อตอบโจทย์ต่อการเชื่อมต่อของคนแต่ละคนซึ่งหัวเว่ยประมาณไว้ว่าจะมี 100 devices ต่อคน เพื่อช่วยให้การใช้งานตามความต้องการของทุกคน ซึ่ง 5G จะมีความเร็วอยู่ที่ 11.29Gbps ความเร็ว 0.5ms ซึ่งเป็นการทดสอบบนย่านความถี่ 4.5 GHz (ซึ่งปัจจุบันยังไม่ได้ถูกใช้งานอย่างเป็นทางการ)
เหมาะกับการตอบสนองที่รวดเร็วและตัดสินใจได้อย่างทันท่วงทีของรถยนต์ไร้คนขับหรือด้านอุบัติภัยต่าง ๆ ที่ต้องการความรวดเร็วของข้อมูลสูง
ซึ่งตัวอย่างคืองาน Facebook ที่ผ่านมาทาง Mark Zuckerburg ได้ใช้งาน VR ในการนำเสนอ แน่นอนว่าจะต้องใช้ Bandwidth จำนวนมหาศาล หรือการดูวีดิโอระดับ 4K ซึ่งจำเป็นที่จะต้องใช้เน็ตมากถึง 50 – 80Mbps เพื่อการรับชม เป็นต้น
โดย Operator สามารถใช้ความถี่ระดับใดก็ได้ในการให้บริการ แต่จำเป็นต้องมีความถี่ระดับ 100MHz ขึ้นไปจึงจะสามารถใช้งานได้จึงจำเป็นที่จะต้องใช้งานอินเทอร์เน็ตในย่าน C-Band แทน
CloudRAN เทคโนโลยีแห่งอนาคต
และเทคโนโลยีใหม่ CloudRAN สามารถนำเอาความถี่ทุกย่านที่ Operator มีทั้ง 2G 3G 4G มารวมกันตรงกลาง แล้วทำการแบ่งสัญญาณการใช้งานตามความต้องการของผู้ใช้งาน ณ ขณะนั้น ทำให้ย่านความถี่ที่มีในปัจจุบันไม่ถูกใช้ไปอย่างไม่คุ้มค่าอีกด้วย
Video on Demand และ New Business Model
ในส่วนของการรับชม Content ในปัจจุบันนั้นผู้คนเริ่มเริ่มย้ายฐานไปยัง Video on Demand เช่น YouTube มากกกว่าเดิม เพราะปัจจุบันหลาย ๆ คนมักจะมีปัญหาในด้านการรับชมทีวีที่ไม่ค่อยมีเวลานั่งอยู่หน้าจอทีวี ซึ่ง YouTube ก็มาตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของการรับชมฟรี มี Content มากมายให้เลือก ดูย้อนหลังได้ ใช้งานง่าย มีละครหรือเรื่องที่ต้องการให้ดูแบบต่อเนื่องไม่มีสะดุด
และปัจจุบันก็ได้เริ่มมีการถ่ายทอดสดหรือ Live บน Social อย่าง Facebook หรือ YouTube ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเป็นจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งผู้ชมสามารถรับชมได้ทุกช่องทางทาง โดยเฉลี่ยผู้รับชมจะชม Live กว่า 1 ชั่วโมงขึ้นไป ซึ่งแน่นอนว่ามีการ Consume Internet ที่สูง ซึ่งการอัปเกรดอินเทอร์เน็ตยิ่งสูง ผู้ใช้งานก็จะมีการอัปเกรดตามไปเรื่อย ๆ ไม่ลดลง
ซึ่ง Huawei ก็ได้มีการแนะนำ Business Model รูปแบบใหม่คือ 3x Monetization โดยแบ่งเป็น Monetize Broadband เพิ่ม Marget Share เพิ่มความนิ่งและลดการสะดุด ต่อด้วย Monetize Experience ซึ่งจะยกเอาสิ่งต่าง ๆ เพิ่มประสบการณ์ให้ลูกค้าได้รับสิ่งดี ๆ มากขึ้นกว่าเดิม และปิดท้ายด้วยการ Monetize Ecosystem สำหรับผู้ใช้งานให้ได้รับสิ่งที่ดีที่สุด
โดยผลสำรวจนี้มาจากผู้ใช้งานทั่วกรุงเทพฯ กว่า 150 รายที่ชื่นชอบการรับชม TV on Demand ซึ่งทางหัวเว่ยก็ได้พามารับชม Content 4K ซึ่งในอนาคตถือได้ว่าเป็นเรื่องปกติของการรับชมทีวีไปแล้ว
Data Center
ปิดท้ายด้วยนวัตกรรมในด้าน Data Center ที่ทาง Huawei เป็นผู้เชี่ยวชาญ ซึ่งเขาก็จะมีบริการต่าง ๆ ที่เป็นเทคโนโลยีล่าสุด มาพร้อมทั้งด้านอุปกรณ์ที่ถูกแบ่งออกเป็น Tier ต่าง ๆ และยังมี Solution ต่าง ๆ มากมายให้คุณเลือกซื้อ ซึ่งจะมีอุปกรณ์เจ๋ง ๆ ที่ Huawei พัฒนาขึ้นแบ่งออกเป็น Tier ต่าง ๆ ตัวที่เด่น ๆ คือ Storage ตัวจิ๋วแต่มีขนาดถึง 32 TB เลยทีเดียว !!
เรียกได้ว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ฟังดูอาจจะไกลตัว แต่แท้จริงแล้วมันเริ่มเข้ามาใกล้คุณขึ้นทุกขณะ โดยเฉพาะ internet 5G ที่ทาง AIS ได้ร่วมมือกับทาง Huawei พัฒนาอยู่ รับรองว่าไม่นานนี้ได้ใช้กันอย่างแน่นอน