จากกรณีดราม่าครั้งใหญ่ของหัวเว่ยที่มีผู้ตั้งข้อสงสัยว่าทำไมหน่วยความจำในเครื่อง Huawei P10 ถึงทดสอบแล้วได้ความเร็วไม่เท่ากัน และ Huawei Mate 9 นั้นใช้หน่วยความจำแบบ UFS 2.1 จริงหรือไม่ เว็บแบไต๋ขอสรุปข้อมูลถึงปัจจุบันให้ฟังกันครับ

ผลสรุปจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผ่านเกณฑ์

เมื่อวันที่ 1 พฤษภาคมที่ผ่านมาทางสคบ. ได้เรียกบริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัดเพื่อชี้แจง และทดสอบผลิตภัณฑ์ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญจาก NECTEC, กสทช. คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ และลาดกระบัง ก็ได้ผลการทดสอบที่ผ่านเกณฑ์ความเร็ว 500 MB/s ซึ่งเป็นความเร็วเชิงทฤษฎีของ UFS 2.1 ทั้งจาก Huawei Mate 9 3 เครื่องที่สุ่มมาจาก 7 เครื่องของผู้บริโภค และ Mate 9 Pro อีก 3 เครื่องที่สุ่มมาจาก 4 เครื่องของผู้บริโภค

ซึ่งสคบ. ได้ให้เวลาบริษัทอีก 15 วันเพื่อทำแนวทางเยียวยาผู้ พร้อมส่งข้อมูลสื้อโฆษณาทั้งหมดของ ตระกูล Mate 9 ซึ่งถ้าหากผิดจากที่โฆษณาจริง จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน พร้อมปรับไม่เกิน 50,000 บาท และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคฟ้องทางแพ่งต่อได้

มาตรฐาน UFS 2.0 กับ 2.1 ความเร็วระดับเดียวกัน ต่างที่ความสามารถ

ในประเด็นเรื่อง UFS 2.0 กับ 2.1 ที่เป็นมาตรฐานอินเทอร์เฟสการเชื่อมต่อหน่วยความจำ หัวเว่ยได้อ้างอิงมาตรฐานที่กำหนดโดยสมาพันธ์ร่วมด้านวิศวกรรมชิ้นส่วนอิเลคตรอน (JEDEC) ซึ่ง UFS 2.1 (JEDEC Standard No.220C) และ UFS 2.0 (JEDEC Standard No.220B) มีการกำหนดอัตราความเร็วที่เท่ากันที่ 2496 Mbps – 5830.4 Mbps หรือ 249.6 MB/s – 583.04 MB/s (มาตรฐานการส่งข้อมูลบางตัวจะกำหนด 10 bits = 1 Byte ทำให้อุปกรณ์ส่งข้อมูลส่วนใหญ่ในโลกจะเขียนหน่วยเป็น bit เพื่อไม่ให้งง)

แต่จุดที่ UFS 2.1 และ 2.0 แตกต่างกันคือเรื่องฟีเจอร์ที่เติมเข้ามา 4 ข้อคือ

  1. วิเคราะห์สุขภาพของหน่วยความจำ
  2. เพิ่มระบบป้องกันการเขียนข้อมูลให้ดีขึ้น
  3. สามารถอัปเฟิร์มแวร์ของหน่วยความจำได้
  4. จัดลำดับความสำคัญของคำสั่งได้

หน่วยความจำที่ทำงานตามมาตรฐาน UFS 2.1 ก็ไม่เร็วกว่า UFS 2.0 เสมอไป อันนี้ขึ้นอยู่กับผู้ผลิตชิปเป็นหลัก ซึ่งกระทู้ใน XDA Developers ก็นำเสนอวิธีการวิเคราะห์ชิปใน Mate 9 และ Mate 9 Pro แบบไม่ต้อง Root เครื่อง และพบว่ามีจาก 3 ผู้ผลิตคือ Samsung เป็นมาตรฐาน UFS 2.0, Toshiba เป็นมาตรฐาน UFS 2.0 และ SK-Hynix เป็นมาตรฐาน UFS 2.1 ซึ่งความเร็วชิปของซัมซุงที่เป็น UFS 2.0 ดันเร็วที่สุด

เอาข้อมูล UFS 2.1 ออกเพื่อตรวจสอบ และตอนนี้นำกลับมาใส่แล้ว

ซึ่งจดหมายจากหัวเว่ยชี้แจงว่า การนำข้อความ UFS 2.1 ในเว็บไซต์ของหัวเว่ยออกเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภค ซึ่งหลังจากการตรวจสอบแล้ว หัวเว่ยได้นำข้อมูลดังกล่าวกลับขึ้นมาบนเว็บไซต์ และยืนยันว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ Huawei Mate9 Series ทุกเครื่องเป็นไปตามมาตรฐาน UFS 2.1 แต่ข้อมูลนี้ก็ขัดกับข้อมูลของ XDA ที่ระบุว่ามีทั้ง UFS 2.0 และ 2.1

หัวเว่ยยืนยัน P10 ในไทยนั้นเป็น UFS 2.0 ทั้งหมด ไม่มี eMMC

หัวเว่ยชี้แจงว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ Huawei P10 Series ที่จำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมดในตอนนี้ ใช้หน่วยความจำประเภท UFS หากหัวเว่ยจะจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นดังกล่าวที่ใช้หน่วยความจำประเภทอื่นหัวเว่ยจะแจ้งให้ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคทราบล่วงหน้า

แต่อย่างไรก็ตามหัวเว่ยไม่เคยโฆษณาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับประเภทหน่วยความจำที่ใช้ใน Huawei P10 Series ในประเทศไทย

คลิกเพื่ออ่านข้อความชี้แจงฉบับเต็ม

สรุปประเด็นที่หัวเว่ยชี้แจงแก่สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค ประเด็นเกี่ยวกับ Mate9 Series และ P10 Series

หัวเว่ยเข้าชี้แจงข้อเท็จจริงต่อสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคเมื่อวันที่ 1 พฤษภาคม 2560 ที่ผ่านมา ในประเด็นที่มีผู้บริโภคร้องเรียนว่าหัวเว่ยจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่น Huawei Mate9 Series และ Huawei P10 Series ไม่ตรงสเป็คของหน่วยความจำ ตามที่โฆษณาไว้ และได้มีการทดสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นดังกล่าว โดยมีผู้แทนสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้เชี่ยวชาญ และลูกค้าผู้ร้องเรียนเข้าร่วม

ในการประชุมดังกล่าว ตัวแทนจาก หัวเว่ย คอนซูมเมอร์ บิสสิเนส กรุ๊ป ประเทศไทย ได้ชี้แจงรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นดังกล่าว ดังนี้

  1. มาตรฐาน UFS 2.1 หรือ UFS 2.0 ไม่ได้เป็นชื่อของฮาร์ดแวร์แต่เป็นมาตรฐานอินเทอร์เฟส โดยที่สมาพันธ์ร่วมด้านวิศวกรรมชิ้นส่วนอิเลคตรอน (JEDEC) เป็นผู้กำหนดมาตรฐานดังกล่าว
  2. มาตรฐานของทั้ง UFS 2.1 (JEDEC Standard No.220C) และ UFS 2.0 (JEDEC Standard No.220B) มีการกำหนดอัตราความเร็วที่เท่ากัน โดยความเร็วในเชิงทฤษฎีของมาตรฐาน UFS 2.1 จะอยู่ระหว่าง 2496 Mbps – 5830.4 Mbps (249.6 MB/s – 583.04 MB/s)
  3. ความแตกต่างระหว่าง UFS 2.1 และ UFS 2.0 คือคุณสมบัติเพิ่มเติมของ UFS 2.1 ที่ไม่มีใน UFS 2.0 อาทิ ฟังก์ชันด้านความปลอดภัย (Cryptographic operation support), ฟังก์ชันเพื่อตรวจเช็คสภาพเครื่อง (Device Health Descriptor) เป็นต้น
  4. หัวเว่ยชี้แจงว่า หัวเว่ยฯระบุข้อความ UFS 2.1 ในเว็บไซต์ของหัวเว่ย และเพื่อหลีกเลี่ยงความสับสนที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภค หัวเว่ยจึงนำข้อมูลดังกล่าวออกจากเว็บไซต์ชั่วคราว ซึ่งหลังจากการตรวจสอบแล้ว หัวเว่ยได้นำข้อมูลดังกล่าวกลับขึ้นมาบนเว็บไซต์ และยืนยันว่าโทรศัพท์เคลื่อนที่ Huawei Mate9 Series ทุกเครื่องเป็นไปตามมาตรฐาน UFS 2.1
  5. หัวเว่ยชี้แจงว่า โทรศัพท์เคลื่อนที่ Huawei P10 Series ที่จำหน่ายในประเทศไทยทั้งหมดในตอนนี้ ใช้หน่วยความจำประเภท UFS หากหัวเว่ยจะจำหน่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่นดังกล่าวที่ใช้หน่วยความจำประเภทอื่นหัวเว่ยจะแจ้งให้ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคทราบล่วงหน้าแต่อย่างไรก็ตามหัวเว่ยไม่เคยโฆษณาประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับประเภทหน่วยความจำที่ใช้ใน Huawei P10 Series ในประเทศไทย

หลังจากชี้แจงข้อมูลในเบื้องต้น หัวเว่ยได้ทำการทดสอบโทรศัพท์เคลื่อนที่ Huawei Mate9 Series ต่อหน้าสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ผู้เชี่ยวชาญจากศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ (NECTEC) คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง รวมถึงลูกค้าผู้ร้องเรียน โดยให้ลูกค้าผู้ร้องเรียนเลือกโทรศัพท์เคลื่อนที่รุ่น Huawei Mate9 มาจำนวน 7 เครื่อง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญสุ่มออกมา 3 เครื่อง และในรุ่น Huawei Mate9 Pro มาจำนวน 4 เครื่อง ซึ่งผู้เชี่ยวชาญสุ่มออกมา 3 เครื่อง โดยได้ทำการทดสอบใน 2 ส่วน คือ การทดสอบเกี่ยวกับ RAM LPDDR4 และการทดสอบเกี่ยวกับ ROM มาตรฐาน UFS 2.1 โดยการทดสอบเครื่อง Huawei Mate9 Series ของลูกค้าผู้ร้องเรียนทุกเครื่องผ่านเกณฑ์ความเร็วมาตรฐานทั้งหมดและมีคุณสมบัติเพิ่มเติมของ UFS 2.1

หลังเสร็จสิ้นการให้ข้อมูลและการทดสอบหัวเว่ยได้สอบถามความคิดเห็นจากคณะกรรมการและลูกค้าผู้ร้องเรียน ซึ่งทุกฝ่ายในที่ประชุมไม่มีข้อติดขัดในประเด็น LPDDR4 และมาตรฐาน UFS 2.1 โดยทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้แนะนำทางบริษัทฯให้พิจารณาเรื่องแผนด้านลูกค้าสัมพันธ์ภายใน 2 สัปดาห์ พร้อมส่งเอกสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับสื่อโฆษณาที่ใช้ในโทรศัพท์เคลื่อนที่ Huawei Mate9 Series ให้กับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคตรวจสอบอีกครั้ง

โดยคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคจะมีการแจ้งผลการตัดสินให้บริษัทฯทราบต่อไป