สำหรับกลุ่มเจมาร์ท ก็เป็นอีก 1 กลุ่มบริษัทใหญ่ที่เติบโตขึ้นเป็นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ซึ่งวันนี้เขาก็ได้ประกาศกลยุทธปี 2561 ในชื่อ “The Power of Synergy Chapter III” พร้อมตั้งเป้ากลุ่มธุรกิจปีนี้เติบโตขึ้น 30% โดย Jaymart Mobile เตรียมขยายเพิ่มอีก 75 สาขา พร้อมเปิดตัว Jaymart Digital Store รายแรกในประเทศไทยผ่านเว็บไซต์ www.jaymartstore.com พร้อมประกาศระดมทุน ICO (Initial Coin Offering) เงิน Cryptocurrency ของตัวเองในชื่อ JFin Coin ตอบรับ Digital Transformation
คุณอดิศักดิ์ สุขุมวิทยา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ มาร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ JMART เปิดเผยถึงกลยุทธ์การดำเนินธุรกิจ “The Power of Synergy Chapter III” ในปี 2561 นี้มีทิศทางที่ชัดเจน พร้อมวางงบลงทุนรวมกว่า 19,520 ล้านบาท เพื่อปรับโฉมธุรกิจเข้าสู่ยุคดิจิทัลเต็มตัว
Jaymart Mobile
เจมาร์ทโมบาย เผยถึงแนวโน้มตลาดมือถือว่ายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี ซึ่งมีการทยอยออกมือถือรุ่นใหม่มาเอาใจผู้บริโภค คาดว่าปีนี้ตลาดรวมมือถือจะเพิ่มขึ้นอยู่ที่ 120,000 ล้านบาท ซึ่งในปีที่ผ่านมา เจมาร์ท โมบายสามารถจำหน่ายมือถือได้รวมกว่า 1.2 ล้านเครื่อง
ซึ่ง Jaymart ในปีนี้ก็ได้มีการปรับตัว ไม่ว่าจะเป็นการขยายสาขาเพิ่มอีก 75 สาขา ซึ่งรวมจากเดิม 225 สาขาเป็น 300 สาขาภายในสิ้นปี 2017 นี้โดยเผยสาขาใหม่ล่าสุด Jaymart Digital Store ร้านแรกในไทยที่นำเอาเทคโนโลยี AI เข้ามาให้บริการลูกค้าอีกด้วย
เปิดตัวระบบร้านค้าออนไลน์ Jaymart Digital Store สำหรับผู้ชอบซื้อของผ่านบัตรออนไลน์ ส่งตรงถึงบ้านได้ และยังมีระบบ Omni Channel ถ้าสาขาไหนไม่มีของ สามารถสั่งซื้อสินค้าเพื่อรับที่บ้านก็สามารถทำได้
และในส่วนของ Ecosystem ของ Jaymart ใหม่นั้น เขาตั้งใจทำให้ร้านกลายเป็น one-stop Service อย่างเต็มรูปแบบไปตั้งแต่การซื้อเครื่อง – ซ่อม/เปลี่ยน – ไปจนถึงรับซื้อเครื่องเก่าในราคาพิเศษ จบในที่เดียว
Jas Assest
ตั้งเป้ารายได้เติบโต 30% ตาปี 2017 โดยมีแผนพัฒนาธุรกิจแนวคิดของ Jas Assest คืออยากสร้างให้เก้าอี้มีขาเยอะ ๆ ถ้าขาไหนหัก ก็จะยังมีขาที่รองรับได้ต่อ วางงบลงทุนไว้จำนวน 720 ล้านบาท จากแผนพัฒนาธุรกิจบริหารพื้นที่เช่าศูนย์โทรศัพท์มือถือ ภายใต้ชื่อ “IT JUNCTION” โดยสิ้นปี 2560 มีจำนวน 52 สาขา และตั้งเป้าในปีนี้จะเปิดเพิ่มอีก 8 สาขา รวมถึงธุรกิจศูนย์การค้าชุมชนภายใต้ชื่อ The Jas ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ The Jas วังหิน , The Jas รามอินทรา ที่มีการรีโนเวทใหม่ในปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มจำนวนผู้ใช้บริการ และ Jas Urban ศรีนครินทร์ เป็นสาขาล่าสุดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในปีนี้ยังเตรียมออกแอพพลิเคชั่น J Smile เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้าของศูนย์การค้าอีกด้วย
สำหรับโปรเจคคอนโด Newera โครงการแรกตั้งเป้ารับรู้รายได้ในปลายปี 2561 และเตรียมศึกษาโครงการต่อเนื่องเพื่อสร้าง Backlog ให้เติบโตในอนาคต ส่วนธุรกิจกาแฟแบรนด์ คาซ่า ลาแปง ที่เข้าไปลงทุนในปีที่ผ่านมา พร้อมเสริมด้วยแบรนด์ย่อย Rabb Coffee เน้นตลาดแฟรนไซส์สำหรับ ผู้ที่สนใจทำธุรกิจกาแฟที่มีแบรนด์มาตรฐาน พร้อมมีผู้ให้สินเชื่อสำหรับประกอบธุรกิจทั้ง เจ ฟินเทค และเอสจี แคปปิตอล พร้อมแผนตั้ง Barista Academy ผลิตบาริสต้าเข้าสู่ร้านกาแฟในไตรมาสที่ 1 ปี 2561 นี้ โดยมีแผนขยายสาขาทั้ง คาซ่า ลาแปง และ Rabb Coffee รวม 250 สาขาภายใน 3 ปีนี้
Jfintech
แผนธุรกิจของ Jfintech พร้อมรุกธุรกิจการเงินด้วยเทคโนโลยี Fintech ผ่าน Digital Transformation ตั้งแต่เรื่องของการใช้ App Jmoney ขอสินเชื่อผ่านแอปฯ ได้ ปัจจุบันมีผู้ใช้งานกว่า 70,000 ราย และในปี 2018 นี้ตั้งเป้ามีผู้ใช้งานกว่า 300,000 ราย พร้อมพัฒนา Option Lone Cashing & E-wallet ที่สามารถนำเงินไปจ่ายผ่านช่องทาง QR Code และมีระบบ Online Lending หรือการนำเอา Chatbot มาใช้งานในการยืนยันข้อมูลผู้สมัครแบบ Realtime สามารถสมัครได้ง่ายขึ้นมาก ลูกค้าจะสามารถรับทราบผลได้ภายใน 15 นาทีเท่านั้น ตั้งเป้าในปี 2019 จะเข้าตลาดหุ้นโดยเปลี่ยนชื่อเป็น Real Fintech
Jventures เตรียมเปิดให้ระดมทุนด้วยดิจิทัล โทเคน “JFin” Coin เป็นครั้งแรกของประเทศ
บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด หรือ JVC บริษัทย่อยภายใต้กลุ่มเจมาร์ท ประกาศระดมทุนครั้งแรกด้วยดิจิทัล โทเคน (Initial Coin Offering : ICO) ในชื่อ “JFin” จำนวน 100 ล้านเหรียญ เหรียญละ 0.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ เตรียมเปิดขายรอบ Presale 14 – 28 กุมภาพันธ์ 2561 นี้ และเสนอขายครั้งแรก (ICO) ในวันที่ 1 – 31 มีนาคม 2561 โดยระดมทุนครั้งนี้เพื่อนำมาพัฒนาระบบซอฟท์แวร์ทางด้านการ ปล่อยสินเชื่อด้วยเทคโนโลยี Blockchain เพื่อสนับสนุนธุรกิจสินเชื่อของเจ ฟินเทค ให้ตอกย้ำการเป็นผู้นำทางด้านฟินเทคของประเทศตัวจริงเสียงจริง
นายธนวัฒน์ เลิศวัฒนารักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจ เวนเจอร์ส จำกัด (JVC)บริษัทย่อยในกลุ่มบริษัท เจมาร์ท ประกาศนำเอาเทคโนโลยีบล็อกเชน (Blockchain) เข้ามาสร้างโอกาสธุรกิจสินเชื่อภายในกลุ่มบริษัทเจมาร์ท โดยประกาศแผนระดมทุนผ่านดิจิทัล โทเคน เป็นครั้งแรกต่อประชาชน โดยจำนวน JFin Coin จะมีทั้งสิ้น 300,000,000 เหรียญ แต่ะจะนำมาทำ Initial Coin Offering หรือ ICO ก่อนจำนวน 100 ล้านเหรียญ ที่หน่วยละ 0.20 ดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งคาดว่าจะได้รับเงินระดมทุนได้ประมาณ 660 ล้านบาท
วัตถุประสงค์ของการระดมทุน
นำไปพัฒนาระบบ Digital Lending Platform หรือระบบสินเชื่อแบบดิจิทัลให้กับบริษัท เจ ฟินเทค ทั้งนี้ ภายใต้ระบบสินเชื่อดังกล่าวบริษัทได้นำเอาเทคโนโลยี Blockchain เข้ามาใช้ ซึ่งประโยชน์ของเทคโนโลยี Blockchain คือ เป็นเทคโนโลยีที่มีความปลอดภัย น่าเชื่อถือ และไม่ต้องอาศัยคนกลางในการปล่อยสินเชื่อ ซึ่งจะเป็นภาพประวัติศาสตร์ครั้งแรกของประเทศที่นำเอาการระดมทุนผ่าน ICO และ Blockchain นั้นได้เชื่อมโยงภาคธุรกิจจริงๆ
ซึ่ง JVC ก็มองว่าธุรกิจสินเชื่อในกลุ่มบริษัท เจมาร์ท จะเติบโตได้อีกมาก ด้วยการมี Ecosystem ที่รองรับการเติบโตของธุรกิจและฐานข้อมูลลูกค้า และช่องทางการจำหน่ายที่หลากหลาย การนำเอา Blockchain เข้ามาใช้เพื่อรุกธุรกิจสินเชื่อเป็นรายแรกของประเทศจะยิ่งสร้างการเติบโตในธุรกิจสินเชื่อได้ โดยบริษัทมีแผนจะเสนอขาย รอบ Presale ระหว่างวันที่ 14 – 28 กุมภาพันธ์ 2561 จะได้รับ On Top ไปอีก 5% ในกรณีที่ซื้อภายในวันนี้ และเสนอขายครั้งแรกต่อสาธารณชนทั่วโลก วันที่ 1 – 31 มีนาคม 2561 ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้จัดทำ White Paper หรือเอกสารแสดงข้อมูลสำหรับการระดมทุนใกล้เสร็จสิ้นแล้ว และจะนำเผยแพร่ต่อผู้ที่สนใจผ่านเว็บไซต์ www.jfincoin.io ในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 เพื่อเป็นข้อมูลสำหรับเสนอขาย “JFin” Coin ต่อผู้ที่สนใจลงทุนทั่วโลก
ทั้งนี้ การระดมทุนผ่านดิจิทัล โทเคน เป็นเรื่องใหม่สำหรับ ประเทศไทย บริษัทมีความตั้งใจที่จะสร้างให้เทคโนโลยีนี้เข้ามาใช้ได้จริงในอนาคต โดยได้ศึกษาหลักเกณฑ์ ที่เกี่ยวข้อง รวมถึง หารือกับหน่วยงานทางการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งปัจจุบันหลักเกณฑ์อยู่ระหว่างการพิจารณาของทางการ โดยบริษัทอยากให้ผู้ที่สนใจลงทุนได้ศึกษาข้อมูลที่อยู่ใน White Paper ก่อนตัดสินใจลงทุน