Fitbit เปิดตัว Fitbit Versa นาฬิกาอัจฉริยะเรือนใหม่อย่างเป็นทางการในไทย ชูจุดเด่น ราคาที่ถูกลงกว่ารุ่นพี่ Fitbit Ionic แต่ยังได้ความสามารถที่จำเป็นครบถ้วนพร้อมดีไซน์ใหม่ที่แตกต่าง ในราคาเริ่มต้น 8,490 บาท (Fitbit Ionic ราคา 11,690 บาท) พร้อมกันนี้ยังเปิดตัว Fitbit Ace สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพสำหรับเด็กอีกด้วย
Fitbit Versa นาฬิกาอัจฉริยะดีไซน์ใหม่
Fitbit Versa เป็นสมาร์ทวอทช์ที่เบาที่สุดของฟิตบิท แต่ยังอัดแน่นด้วยฟีเจอร์เพื่อสุขภาพและฟิตเนส แบตเตอรีที่รองรับการใช้งานได้นานกว่า 4 วัน (Ionic ได้ราว 7 วัน) โดยฟิตบิท เวอร์ซ่า มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ Fitbit OS 2.0 ช่วยให้คุณเข้าถึงข้อมูลด้านสุขภาพและฟิตเนสประจำวันและประจำสัปดาห์ได้ในทุกที่ หน้าจอที่ได้รับการออกแบบใหม่ แสดงข้อมูลที่เป็นประโยชน์ พร้อมทิปส์และเทคนิคต่าง ๆ เพื่อช่วยให้ผู้ใช้รักษากรอบการออกกำลังและทำได้สำเร็จตามเป้า ฟีเจอร์ Fitbit Coach หรือโปรแกรมช่วยแนะนำการออกกำลังที่ปรับให้เหมาะกับคุณ การติดตามอัตราการเต้นของหัวใจด้วยเทคโนโลยี PurePulse ที่ปรับปรุงใหม่ โหมดเพื่อการออกกำลังกายกว่า 15 แบบ ที่รวมถึงโหมดการติดตามการว่ายน้ำแบบอัตโนมัติ การติดตามภาวะการนอนอัตโนมัติ และสามารถกันน้ำลึกได้ 50 เมตร
นอกจากนี้ Fitbit Versa ยังอัดแน่นไปด้วยสมาร์ทฟีเจอร์มากมาย อาทิ การแจ้งเตือน แอปพลิเคชั่นต่าง ๆ ปฏิทิน การเตือนสายเรียกเข้าและข้อความจากโทรศัพท์มือถือ แอปฯ มีให้เลือกใช้ฟรีมากมายจากคลังแอปฯ ของฟิตบิท ทั้งจากแบรนด์ยอดนิยมกว่า 650 แบรนด์ แอปฯ โดยนักพัฒนาและ Fitbit Labs รวมถึงหน้าปัดนาฬิกาที่เลือกดาวน์โหลดและปรับเปลี่ยนได้ตามใจชอบ ระบบชำระเงิน Fitbit Pay ที่ได้รับการรับรองจากธนาคารพาณิชย์และบัตรเครดิตชั้นนำกว่า 60 รายใน 15 ประเทศ (ยังใช้งานในไทยไม่ได้) และเสียงเพลงบนนาฬิกาเพื่อสร้างแรงจูงใจจาก Deezer หรือเพลย์ลิสต์ส่วนตัวคุณ โดยมาพร้อมกับแบตเตอรีที่ใช้งานได้ยาวนานถึง 4 วัน โดยฟิตบิท เวอร์ซ่า สามารถใช้ร่วมกับระบบแอนดรอยด์ iOS และวินโดวส์
พร้อมประกาศความสามารถใหม่ที่จะเพิ่มผ่านการอัปเดทซอฟต์แวร์ทั้ง Fitbit Ionic และ Fitbit Versa ในเดือนพฤษภาคมนี้คือ
- โหมดตอบกลับข้อความ (Quick Replies) โดยผู้ใช้โทรศัพท์มือถือระบบแอนดรอยด์จะสามารถส่งข้อความตอบกลับได้ทุกที่ด้วยสมาร์ทวอทช์ Fitbit Versa และ Fitbit Ionic ด้วยการสร้างและส่งข้อความไม่เกิน 60 ตัวอักษรที่เตรียมไว้ล่วงหน้า สำหรับส่งข้อความบนมือถือ หรือผ่านแอปฯ การสนทนา (Messenger) ต่างๆ เช่น WhatsApp และ Facebook Messenger สำหรับระบบแอนดรอยด์
- การติดตามข้อมูลสุขภาพสำหรับคุณผู้หญิง (Female Health Tracking) สำหรับผู้ใช้งานที่เป็นผู้ใหญ่ ที่ระบุเพศหญิงไว้บน Fitbit app จะสามารถติดตามรอบเดือนและอาการต่างๆ i ของตนได้ ช่วยดูแลรอบเดือนได้ง่ายยิ่งขึ้น เห็นภาพรวมข้อมูลสุขภาพและฟิตเนสได้ครบในที่เดียว ผู้ใช้ Versa และ Ionic ยังสามารถดูข้อมูลการติดตามสุขภาพของคุณผู้หญิงได้จากอุปกรณ์นี้ด้วย
Fitbit Versa มีวางจำหน่ายแล้วที่ B2S ร้านดอทไลฟ์ คิงพาวเวอร์ พาวเวอร์บาย วีมาร์ท และลาซาด้า
- Fitbit Versa ราคา 8,490 บาท สำหรับสีดำ (พร้อมกรอบดำอลูมิเนียม), สีเทา (พร้อมกรอบเงินอลูมิเนียม) หรือสีพีช พร้อมกรอบโรส โกลด์ อลูมิเนียม
- Fitbit Versa Special Edition ราคา 9,490 บาท มาพร้อมกับสายแบบถักสีลาเวนเดอร์ กรอบอลูมิเนียมสีโรสโกลด์ หรือสายแบบถักสีดำชาร์โคล กรอบอลูมิเนียมสีกราไฟต์ โดยทั้งสองแบบจะมาพร้อมกับสายแบบคลาสสิกสีดำด้วย
- อุปกรณ์เสริมต่าง ๆ ราคาตั้งแต่ 1,090 บาท ถึง 3,290 บาท
และในงานนี้ Fitbit ยังได้นำฟิตบิท เอซ (Fitbit Ace) สายรัดข้อมือเพื่อสุขภาพสำหรับเด็ก ๆ มาเผยโฉมด้วย เพราะวิจัยมาว่าเด็ก 20% น้ำหนักเกิน จึงอยากให้พ่อแม่สามารถประเมินพฤติกรรมลูกๆ ว่าออกกำลังกายแค่ไหน มีสุขภาพอย่างไรได้ง่ายๆ ซึ่ง Ace จะมีแบตเตอรี่ที่อยู่ได้ 5 วัน และมีระบบบัญชีแยกกันระหว่างบัญชีส่วนตัวกับบัญชีของลูกเพื่อความเป็นส่วนตัว โดยจะเปิดตัวภายในไตรมาส 2 ของปี 2561 นี้
สรุปความแตกต่างระหว่าง Fitbit Ionic และ Fitbit Versa
- Fitbit Ionic มี GPS ในตัว ทำให้เหมาะกับการออกกำลังกายนอกสถานที่เช่นวิ่งมาราธอน หรือปั่นจักรยาน เพราะสามารถแทร็กเส้นทางและเก็บค่าจากระยะทางได้ในตัวเลย ส่วน Versa ต้องใช้ GPS จากมือถือช่วย
- Fitbit Ionic มีแบตเตอรี่ยาวนานกว่า ชาร์จครั้งหนึ่งอยู่ได้ประมาณ 5 วัน ส่วน Versa อยู๋ได้ราว 4 วัน
- สายนาฬิกาและที่ชาร์จของ Ionic กับ Versa เป็นคนละแบบกัน ไม่สามารถใช้ร่วมกันได้
- Versa มีขนาดเล็กและเบากว่า Ionic อย่างเห็นได้ชัด ตัวสายก็บางกว่า ทำให้ Versa นั้นเหมาะกับคุณผู้หญิงมากกว่า (แต่ก็แล้วแต่ชอบด้วยนะครับ)
- วัสดุของตัวเรือน Ionic ให้สัมผัสที่พรีเมี่ยมกว่า
- ราคา Fitbit Ionic เริ่มต้นที่ 11,690 บาท ส่วน Fitbit Versa เริ่มต้นที่ 8,490 บาท
- ส่วนอื่นๆ นั้นเหมือนกัน ทั้งประสิทธิภาพในการวัดการเต้นของหัวใจ การนับก้าว ตรวจการนอนหลับ ซอฟต์แวร์ภายใน
เจาะประเด็นคาใจกับผู้บริการ Fitbit
ในฐานะที่แบไต๋ก็เป็นแฟน Fitbit มานาน เคยรีวิว Fitbit Ionic ไปแล้วจึงมีคำถามหลายอย่าง ในงานนี้เราได้มีโอกาสพูดคุยกับมร. อเล็กซานเดอร์ ฮีลีย์ ผู้จัดการการตลาดบริหารด้านผลิตภัณฑ์ของฟิตบิท ในประเด็นดังนี้ครับ
ภาษาไทยใน Fitbit จะมาเมื่อไหร่? ตอนนี้ดู Notification ลำบากมาก
เราพยายามผลักดันอยู่ แต่การพัฒนาฟีเจอร์ใหม่ๆ มันก็มีลำดับความสำคัญของมัน ซึ่งเราก็พยายามทำให้เรื่องการเพิ่มตัวอักษรภาษาไทยเข้าไปใน Firmware เป็นเรื่องสำคัญแต่การเพิ่มภาษาต่างๆ ในโลกก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างภาษาไทยก็มีอักษร 3 ระดับ ทำให้ซับซ้อนในการพัฒนา (สรุป ยังไม่มีกำหนดว่าเมื่อไหร่ และดูจะไม่ใช่เร็วๆ นี้ด้วย)
ประเทศไทยดูไม่เหมาะกับ Fitbit Pay เลย เพราะเราใช้ QR Code จ่ายเงินเป็นหลัก คุณมองเรื่องนี้อย่างไร?
Fitbit Pay เป็นระบบจ่ายเงินที่อิงจากเทคโนโลยี NFC เป็นหลัก เราสามารถนำนาฬิกา Fitbit ไปแตะกับเครื่องจ่ายเงิน NFC เพื่อจ่ายเงินได้ ซึ่งก็ได้รับความนิยมในประเทศที่ใช้จ่ายในระบบ NFC แต่เราก็เข้าใจว่าเทคโนโลยีในสังคมไร้เงินสดนั้นแบ่งเป็น 2 ทางคือสาย NFC ที่เอาอุปกรณ์ไปแตะกับเครื่องจ่ายเงิน กับสาย QR Code ที่ใช้กล้องสแกน ซึ่งจริงๆ Fitbit ก็ใช้เทคโนโลยี QR Code ได้ แต่เป็นการใช้ในเชิงแสดง QR Code ให้สแกน ทำให้ไม่ได้สมบูรณ์เท่าไหร่ เรื่อง Fitbit Pay ในไทยจึงอยู่ระหว่างการพิจารณา
ทำไม Fitbit Versa ใช้อุปกรณ์ร่วมกับ Fitbit Ionic ไม่ได้? เช่นสายนาฬิกาก็เป็นคนละมาตรฐานกัน
เรามองว่าคนใช้ Ionic กับ Versa นั้นแยกกัน คนที่มี Ionic อยู่แล้วก็จะไม่ซื้อ Versa ทำให้เราพัฒนาสายนาฬิกาออกมาเป็นมาตรฐานใหม่ให้เหมาะกับ Versa ที่มีตัวเรือนเล็กกว่า Ionic ซึ่งทำให้เจาะกลุ่มตลาดคนละกลุ่มกันได้ (อารมณ์เหมือน Versa คือ Apple Watch 38 mm ที่สายนาฬิกาเล็กกว่า เหมาะสำหรับผู้หญิง ส่วน Ionic เป็น Apple Watch 42 mm ที่สายจะใหญ่กว่า เหมาะกับผู้ชาย)
ส่วนหน้าปัดนาฬิกาจะสามารถใช้ร่วมกันได้ระหว่าง Ionic กับ Versa แม้ขนาดจอจะไม่เท่ากัน เพราะตัวหน้าปัดสามารถสเกลขนาดได้ (แต่เอาเข้าจริงในหน้าโหลดหน้าปัดของ Fitbit ก็มีหน้าปัดไม่เท่ากันระหว่าง Ionic กับ Versa นะ ก็เข้าใจว่านักออกแบบหน้าปัดก็ต้องปรับปรุงโค้ดเพื่อให้รองรับขนาดจอของ Versa ด้วย)