เบลคิน บริษัทผู้ผลิตอุปกรณ์เสริมชั้นนำ พร้อมนำเสนอผลิตภัณฑ์ประจำปี 2561 ครอบคลุมทั้งสำหรับผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนและอุปกรณ์ไอทีทั้งบนระบบปฏิบัติการ iOS และ Android โดยแยกเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักๆ ดังนี้
ฟิล์มกระจกปกป้องหน้าจอ
ตอนนี้ Belkin มีฟิล์มกระจกเกรดพรีเมี่ยม 3 รุ่นที่กำลังทำตลาดอยู่ในไทยคือ
- ScreenForce® TemperedGlass ที่มอบความแข็งแรงทนทานเป็นเลิศ
- ScreenForce® InvisiGlass™ Ultra มอบการปกป้องระดับอัลตร้าพร้อมความชัดใสดุจแก้วคริสตัล
- ScreenForce® TemperedCurve กับดีไซน์โค้งสอดรับกับขอบหน้าจอโค้งเพื่อการปกป้องสมาร์ทโฟนได้ในทุกองศา
ซึ่งจุดเด่นของฟิล์มกระจกจาก Belkin คือติดตั้งด้วยฟิล์มด้วยเครื่องมือพิเศษ Belkin TrueClear® Pro Advanced Screen Care™ (TCP) ทำให้ติดได้สวยงามและรวดเร็ว เป็นโซลูชั่นติดฟิล์มกระจกที่ได้รับการจดสิทธิบัตรและคว้ารางวัลชั้นนำมาแล้วมากมาย พร้อมให้บริการภายในศูนย์บริการที่ดำเนินการโดยช่างผู้ชำนาญซึ่งผ่านการฝึกอบรมมาโดยเฉพาะ พร้อมการรับประกันนานถึง 2 ปี
ถามปัญหาคาใจ ทำไมตอนนี้กลายเป็นฟิล์มกระจกกันไปหมด ฟิล์มธรรมดาหายไปไหน
เรื่องนี้คุณชาคริต ศิริกุลประดิษฐ์ ผู้จัดการฝ่ายขายประจำภูมิภาคเอเซียน เบลคิน อินเตอร์เนชั่นแนล ตอบเราว่า เพราะตอนนี้คนต้องการฟิล์มกระจกเป็นหลัก ทำให้ผู้ผลิตออกฟิล์มพลาสติกธรรมดาน้อยลง เนื่องจากฟิล์มเดิมมีข้อเสียเรื่องความใส และลักษณะการสัมผัสที่แตกต่างจากกระจก น้อกจากนี้ฟิล์มกระจกยังตอบสนองกับอุปกรณ์จอโค้งได้ดีกว่า ซึ่ง Belkin ก็ตอบรับเทรนด์นี้ แล้วพัฒนาฟิล์มกระจกร่วมกับบริษัททำกระจกชั้นนำของโลกอย่าง Corning หรือ Asahi เพื่อพัฒนาเนื้อฟิล์มกระจกที่ดีกว่ากระจกทั่วไป
โซลูชั่นการชาร์จไร้สายที่รวดเร็ว
Belkin ออกเครื่องชาร์จไร้สายมาหลายรุ่นครับ เลือกได้ทั้งแบบวางนอน BOOST↑UP™ Bold Wireless Charging Pad และ แบบวางตั้งจากรุ่น BOOST↑UP™ Wireless Charging Stand ซึ่งทั้งสองรุ่นออกแบบให้รองรับเทคโนโลยีการชาร์จมาตรฐาน Qi พร้อมดีไซน์หรูหราทันสมัย รูปทรงเพรียวบาง น้ำหนักเบา ให้คุณพกพาไปได้ทุกที่อย่างสะดวกสบาย และมอบประสิทธิภาพชาร์จไวทันใจเพียงวางสมาร์ทโฟนลงบนแท่น ทั้งยังช่วยขจัดปัญหาสายชาร์จที่พันกันยุ่งเหยิงไม่ให้กวนใจผู้ใช้งานอีกต่อไป พร้อมการรับประกันนานถึง 3 ปีเมื่อลงทะเบียนผ่าน www.belkin.com
ซึ่งคุณชาคริตก็ให้ข้อมูลเชิงเทคนิคของการชาร์จไร้สายว่า ปัจจุบัน iPhone รุ่นที่รองรับการชาร์จไร้สายนั้นรองรับกำลังไฟได้แค่ 7.5W ส่วนในฝั่งของ Android อย่างซัมซุงนั้นชาร์จได้ถึง 9W แท่นชาร์จของ Belkin จึงออกแบบให้รองรับการทำงานกับทั้ง 2 ระบบและให้ความเร็วในการชาร์จไฟสูงสุดเท่าที่อุปกรณ์จะรับได้
และการชาร์จไร้สายมีข้อจำกัดดังนี้
- มือถือต้องรองรับมาตรฐานการชาร์จเดียวกับแท่นชาร์จ ซึ่งปัจจุบันมาตรฐานที่นิยมคือ Qi
- ข้อจำกัดเรื่องระยะทาง และอุปกรณ์ที่มาขวางกั้น แนะนำที่ไม่เกิน 0.3 mm
- เรื่องอุณหภูมิ ถ้าร้อนก็จะดึงไฟลดลง
- ชนิดของเคสก็มีผล ถ้าเป็นเคสโลหะ หรืออุปกรณ์ที่เป็นโลหะก็จะมีปัญหาในการชาร์จ
เชื่อมต่อเสียงได้อย่างง่ายดาย
นอกจาก Lightning Audio + Charge RockStar™ และ 3.5 mm Audio + Charge RockStar™ ที่สามารถต่อกับไอโฟนพร้อมชาร์จและฟังเพลง/รับสายพร้อมกันได้ ยังมีสายต่อเครื่องเสียงจากเบลคิน รุ่น 3.5 mm Audio Cable With Lightning Connector ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเชื่อมต่อไอโฟนเพื่อฟังเพลงโปรดจากเครื่องเสียงขนาดใหญ่ได้อย่างง่ายดายให้คุณเพลิดเพลินกับเสียงเพลงได้ทุกที่ทุกเวลา ซึ่ง
ชาร์จไฟได้ทุกที่ด้วยเพาเวอร์แบงก์พกพาคุณภาพสูง
เพาเวอร์แบงก์รุ่นใหม่จากเบลคินมีขนาดกะทัดรัด ง่ายต่อการพกพาและติดตัวไปกับคุณได้ทุกที่ ช่วยให้คุณใช้งาน สมาร์ทโฟนได้ตลอดวัน มีให้เลือกได้หลากหลายตามการใช้งานไม่ว่าจะเป็นรุ่น Pocket Power Bank (กำลังไฟ 5K, 10K, 15K) สำหรับการใช้งานกับพอร์ต USB-A ทั่วไป และรุ่น BOOST↑ CHARGE™ Power Bank (กำลังไฟ 5K, 10K) สำหรับผู้ใช้งานไอโฟน ทุกรุ่นติดตั้งเซ็นเซอร์ตรวจจับความร้อน ตรวจสอบการจ่ายไฟและกำลังไฟที่มีประสิทธิภาพ เพื่อป้องกันความร้อนสะสมมากเกินและมอบความปลอดภัยสูงสุดในระหว่างการใช้งาน
อุปกรณ์ชาร์จไฟผ่าน USB-C
จริงๆ Belkin ออกอุปกรณ์เสริมสำหรับ USB-C อย่างต่อเนื่องมานานแล้ว แต่การที่ iPad Pro เปลี่ยนมาใช้ USB-C ก็น่าจะทำให้ตลาด USB-C คึกคักขึ้นได้อีก ซึ่งคุณชาคริตให้ข้อมูลกับเราว่า Belkin ทดสอบ iPad Pro รุ่นใหม่แล้วว่าสามารถรองรับกำลังไฟในการชาร์จได้ถึงราวๆ 30W แต่หัวชาร์จที่แถมมาในกล่องนั้นมีกำลังเพียงแค่ 18W ก็ทำให้ Belkin มีโอกาสมากขึ้นในการจำหน่ายหัวชาร์จประสิทธิภาพสูงกว่าที่แถมมาในกล่อง ซึ่งวิศวกรของ Belkin ก็ได้ทดสอบการชาร์จ iPad Pro ตัวใหม่ด้วยหัวชาร์จแบบ USB-A เดิม ปรากฏว่าสามารถชาร์จได้แค่ 7W แทนที่จะชาร์จเต็มกำลัง 12W ก็หมายความว่า ต้องใช้หัวชาร์จที่หัวเป็น USB-C เท่านั้นถึงจะชาร์จได้เต็มกำลัง
ส่วนการรองรับการชาร์จอุปกรณ์อื่นๆ นั้น คุณชาคริตอธิบายว่า ผู้ซื้อต้องพิจารณาอุปกรณ์ที่ตัวเองใช้ เช่น Macbook Pro 15 นิ้วกินไฟ 81 W ก็ต้องดูที่หัวชาร์จตัวหลักที่แถมมาในกล่องว่าจ่ายไฟกี่ V กี่ A แล้วหาหัวชาร์จ USB-C ที่จ่ายไฟในระดับเดียวกันได้ ก็กลายเป็นภาระของผู้ซื้อที่ต้องศึกษามากกว่าเดิม ที่ต้องดูทั้งหัวชาร์จและสายให้เข้ากัน