ช่วงต้นปีแบบนี้ก็ถึงเวลาที่ค่ายทีวีต่างๆ จะเปิดตัวทีวีชุดใหม่ประจำปี 2019 แล้วครับ ซึ่งน้องลูกแก้วและทีมงานแบไต๋ก็ได้ร่วมทริปด่วนไปสิงคโปร์กับโซนี่ไทยเพื่อยลโฉมทีวี Sony Bravia ชุดล่าสุดทั้งตระกูลที่จะทยอยวางขายในปี 2019 นี้ครับ
ไฮไลต์ของทีวี Sony Bravia 2019
เป็นธรรมเนียมของ Sony ที่จะใช้ตัวอักษรภาษาอังกฤษเรียงลำดับในรหัสรุ่นทีวีเพื่อแทนปีที่ทีวีชุดนั้นๆ วางขายนะครับ ซึ่ง Sony Bravia ปี 2019 จะใช้รหัส G เช่น Sony A9G เป็นตัวท็อปของปีนี้ ส่วน Sony A9F ก็เป็นตัวท็อปของปีที่แล้ว
ภาพรวมของ Sony Bravia 2019 นั้นเปลี่ยนแปลงไม่เยอะเมื่อเทียบกับทีวีปี 2018 ครับ โดยคุณ Benjamin Ng, Assistant General Manager TV Marketing Division Sony South East Asia ได้สรุปภาพรวมของปีนี้ใน 3 ด้านคือ
- เน้นเรื่องทำทีวีขนาดใหญ่เป็นตัวเลือกหลัก เพราะผู้บริโภคสนใจทีวีที่จอใหญ่ขึ้น และทีวีที่ให้มุมมองได้ 40 องศาของมุมมองสายตาจะสร้างประสบการณ์เหมือนโรงหนัง
- เน้นเอาเทคโนโลยี Master Series ในปี 2018 ออกมาสู่รุ่นเล็กลงด้วย คือนอกจาก Sony A9G จะเป็น Master Series ของปีนี้ ยังมี Sony X9500G ตัวท็อปของฝั่ง LED ที่ใช้ชิป Sony X1 Ultimate ด้วย ทำให้มีโหมด Netflix Calibrated เหมือนรุ่นใหญ่
- ปรับปรุงเรื่องเสียง มีเทคโนโลยีใหม่คือ Acoustic Multi-Audio สำหรับทีวีรุ่นจอ LED เพื่อให้เสียงเหมือนออกจากหน้าจอได้ โดยเพิ่ม Tweeter อยู่ข้างจอด้านหลัง
แต่เรื่องที่ยังไม่พูดถึงเลยในงานแถลงข่าวครั้งนี้คือความร่วมมือระหว่าง Sony กับ Apple ที่นำ AirPlay และ iTunes Store เข้าไปอยู่ใน Bravia TV ซึ่งทีวีโซนี่ในงานก็ยังไม่มีฟังก์ชั่นจากแอปเปิ้ลครับ แต่แบไต๋เราคาดว่าจะได้รับความสามารถนี้ผ่านการอัปเดตเฟิร์มแวร์ให้ทีวีหลังวางจำหน่าย (ก็เปิดตัวจากงาน CES ไปแล้วนี่) ซึ่งก็น่าจะมีเฉพาะทีวีรุ่นปี 2019 เท่านั้นที่ได้ความสามารถจากแอปเปิ้ลครับ
เรามาดูรายละเอียดคร่าวๆ ของแต่ละรุ่นในปี 2019 กันดีกว่าครับ
Sony A9G MASTER Series ทีวี OLED ตัวท็อปของปี 2019
ถ้าพูดกันตรงๆ Sony A9G นั้นไม่ได้แตกต่างจาก A9F ที่เป็นตัวท็อปของปีที่แล้วมากนักครับ แต่ด้วยความเป็น MASTER Series ก็ยังน่าสนใจอยู่ดี เพราะมันเป็นทีวีที่โซนี่การันตีและจูนทุกอย่างให้ได้ภาพที่สวยสมบูรณ์ที่สุด สีสันเที่ยงตรงกับสีที่ออกจากสตูดิโอมากที่สุด โดยความสามารถหลักๆ คือ
- ใช้ชิปประมวลผล X1 Ultimate ในการปรับปรุงคุณภาพภาพให้ดีที่สุดเพื่อแสดงผลบนจอ
- Pixel Contrast Booster ส่วนควบคุมจอ OLED พิเศษของโซนี่ ช่วยให้แต่ละพิกเซลแสดงผลได้สว่างสดใส สวยสมจริง สีดำก็ดำสนิท
- Acoustic Surface Audio+ ที่ใช้ Actuators 2 ตัวสร้างแรงสั่นสะเทือนให้หน้าจอทีวีกลายเป็นลำโพงขนาดยักษ์ และมี Subwoofer 2 ตัวเพื่อให้เสียงเบานุ่มลึก
- รองรับทั้ง Dolby Vision และ Atmos เพื่อให้ภาพและเสียงสมบูรณ์ที่สุด
- มีโหมด Netflix Calibrated สำหรับจูนแสงสีของหน้าจออัตโนมัติ เห็นภาพอย่างที่โปรดิวเซอร์อยากให้เราเห็น
- ใช้ Android TV
แต่ส่วนที่แตกต่างจาก A9F มากๆ คือเรื่องของดีไซน์ครับ ที่เปลี่ยนจากดีไซน์ทีวีตั้งเอียงพร้อมขายันด้านหลัง เป็นขาตั้งอย่างบางวางกับพื้นแล้วตั้งทีวีตรงขึ้น 90 องศาจากพื้นโต๊ะ ซึ่งทำให้กินพื้นที่ในการวางน้อยลง ซึ่งก็น่าจะถูกใจใครหลายๆ คนมากขึ้น
ส่วนราคานั้นยังไม่ระบุครับ ซึ่งจะวางจำหน่ายในไทยในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 นี้ครับ โดยจะมีขนาด 77, 65 และ 55 นิ้วให้เลือก
Sony A8G ทีวี OLED รุ่นน้องในปีนี้
สำหรับใครที่อยากได้ทีวี OLED แต่งบไปไม่ถึงระดับ MASTER Series ก็ยังมีรุ่นรองอย่าง A8G อยู่ครับซึ่งความแตกต่างจากรุ่น A9G นั้นอยู่ที่
- ใช้ชิป X1 Extreme ตัวรองจาก X1 Ultimate ทำให้ไม่มีความสามารถอย่าง Netflix Calibrated และไม่ได้จูนสีอย่างละเอียดเหมือนรุ่นพี่ แต่ภาพก็ดีมากอยู่แล้วเมื่อเทียบกับทีวีทั่วไป
- ระบบเสียงเป็น Acoustic Surface Audio ใช้การสั่นของหน้าจอ แต่มีซับวูฟเวอร์ตัวเดียว
- แต่ที่ดีงามคือขาตั้งแบบใหม่ที่สามารถปรับให้ยกตัวจอทีวีขึ้นสูงจากพื้นโต๊ะได้ สำหรับการวาง Soundbar โดยไม่บังทีวี ซึ่ง A9G ไม่มีขาตั้งยกแบบนี้นะ วางขอบจอชิดพื้นโต๊ะอย่างเดียว
ส่วนเรื่องที่เหมือนกันคือรองรับทั้ง Dolby Vision และ Dolby Atmos ครับ ความละเอียดภาพ 4K HDR และใช้ Android TV แน่นอน ซึ่งก็จะวางขายในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2019 เช่นกัน โดยมีขนาดให้เลือกแค่ 65 กับ 55 นิ้วเท่านั้น
กลุ่มทีวี LED HDR ของ Sony Bravia ก็น่าสนใจ
มาดูทีวีกลุ่มที่คนทั่วไปน่าจะซื้อใช้กันแบบสบายกระเป๋ากันบ้าง คือกลุ่มจอ 4K LED HDR จาก Sony Bravia ครับ ซึ่งที่ประกาศออกมาในงานนี้มีดังนี้
- Sony X9500G ตัวท็อปของกลุ่ม 4K LED ที่ใช้เทคโนโลยีการประมวลผลระดับเดียวกับ A9G คือเป็นชิป X1 Ultimate เหมือนกัน ได้โหมด Netflix Calibrated เหมือนกัน รองรับทั้ง Dolby Vision และ Atmos ส่วนตัวจอภาพ LED Triluminos มีเทคโนโลยี Full Array Dimming เพื่อหรี่แสงเป็นโซนได้ ทำให้ภาพที่แสดงมี Contrast สูงกว่าจอทั่วไป โดยมีขนาดให้เลือกที่ 85, 75, 65 และ 55 นิ้ว
- Sony X8500G ตัวรองที่ใช้ชิป X1 Extreme หน้าจอเป็น LED Triluminos แต่ไม่มี Full Array Dimming ส่วนเทคโนโลยีรองรับทั้ง Dolby Vision และ Dolby Atmos ซึ่งมีขนาด 75, 65, 55, 49 และ 43 นิ้วให้เลือก
ซึ่ง X9500G และ X8500G มีความพิเศษอยู่ตรงที่เป็น 2 รุ่นที่ได้ระบบเสียง Dolby Atmos และใช้ลำโพงรูปแบบใหม่เรียกว่า Acoustic Multi-Audio ที่ดีไซน์ให้ตัวลำโพงเสียงแหลมไปอยู่หลังจอบริเวณข้างซ้ายและขวา ส่วนลำโพงเสียงกลางกับเสียงต่ำอยู่บริเวณส่วนท้ายของทีวี ทำให้ได้มิติเสียงที่โอบล้อมกว่าลำโพงทีวีแบบเดิมมาก และเสียงพูดเหมือนออกมาจากจอจริงๆ ไม่ได้ออกมาจากลำโพงที่มักจะอยู่ด้านล่างเหมือนทีวีทั่วไป ซึ่งลำโพงแบบนี้วางทีวีแปะบนกำแพงก็ไม่กระทบกับเสียง (แต่ที่ใช้ Acoustic Surface Audio เหมือนรุ่นจอ OLED ไม่ได้ก็เพราะว่าจอ LED มันสั่นแบบนั้นไม่ได้)
- Sony X8000G รุ่นยอดนิยมขวัญใจมหาชนก็มีมาให้เลือกในขนาดจอ 75, 65, 55, 49 และ 43 นิ้ว โดยใช้เป็นจอ 4K Triluminos พร้อมหน่วยประมวลผล 4K X-Reality Pro ครับ พร้อม Android TV ด้วย
- Sony X7000G ทีวี 4K ที่ราคาถูกที่สุดของโซนี่ กลับมาปีนี้ใช้จอแบบ 4K Triluminos แล้ว พร้อมหน่วยประมวลผล 4K X-Reality Pro ทำให้คุณภาพภาพดีกว่าเดิม แต่รุ่นนี้ไม่มี Android TV นะ โดยมีขนาด 65, 55, 49 และ 43 นิ้วให้เลือก
นอกจากนี้โซนี่ยังออกทีวีระดับ 1080P มา 2 รุ่นในปีนี้ครับ
- Sony W800G หน้าจอ HDR พร้อม Android TV โดยมีขนาด 49 และ 43 นิ้วให้เลือก
- Sony W660G หน้าจอ HDR แต่ไม่มี Android TV โดยมีขนาด 50 และ 43 นิ้วให้เลือก
ใครสนใจก็รอซื้อ Sony Bravia 2019 รหัส G กันได้ในช่วงไตรมาส 2 ของปีนี้นะครับ