ต้องยอมรับว่า Fintech หรือเทคโนโลยีการเงินในบ้านเรากำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการใช้กระเป๋าสตางค์ไร้เงินสด หรือ e-wallet ซึ่งถูกพัฒนามาในระยะหนึ่งเเล้ว เเต่ปี 2019 นับว่าเป็น ‘จุดเปลี่ยน’ ครั้งสำคัญของวงการ Fintech ไทย หลังมีเเบรนด์ยักษ์ใหญ่ทั่วโลกเข้ามาเป็น Partner วันนี้ #beartai จึงขอพาชมบริการของ 3 ค่ายยักษ์ใหญ่ระดับโลกที่เราจะได้เห็นกันเเล้วในเร็ว ๆ นี้ในไทยจากงาน Bangkok FinTech Fair 2019
เริ่มที่ Central JD Money ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่าง JD บริษัทอีคอมเมิร์ซยักษ์ใหญ่จากจีน กับเครือเซ็นทรัล พัฒนาเเอป Dolfin Wallet (ฟังคล้าย ๆ ปลาโลมา เลยให้ความรู้สึกเป็นมิตรต่อผู้ใช้) โดยหลังจากเเถลงข่าวเปิดตัวไปเมื่อต้นปี ตอนนี้ก็มีให้เห็นกันตามห้างกันบ้างเเล้ว
ความพิเศษของ Dolfin Wallet คือ คุณสามารถซื้อของที่อยู่ในห้างเซ็นทรัลกว่า 5,000 ร้านค้า (เช่น Auntie Anne’s, Mister Donut, Ootoya, Tops Market ฯลฯ) ผ่านการสเเกน QR code พร้อมเเลกรับสิทธิพิเศษต่าง ๆ สะสมคะเเนนผ่าน The 1 Card นอกจากนั้นยังมีการสร้างพันธมิตรกับธนาคารใหญ่ ๆ ของไทยอย่าง ธนาคารกสิกรไทย เเละ ธนาคารกรุงเทพ ซึ่งมีจุดบริการอยู่ทั่วประเทศ
จุดเด่นที่เป็นไฮไลต์ คือ ระบบ e-KYC หรือระบบยืนยันตัวตนผ่านการสเเกนใบหน้า (ซึ่งในอนาคตมีเเผนที่จะพัฒนาระบบให้ใช้ใบหน้าซื้อของได้!) นอกจากนั้นยังรวมถึงการใช้ OCR อ่านข้อมูลบัตรประชาชนอัตโนมัติ ไม่ต้องเสียเวลามานั่งพิมพ์ตอนสมัคร รวมถึงการใช้ระบบ open-loop ซึ่งเป็นการรองรับการชำระเงินของหลาย ๆ เเพลตฟอร์ม ซึ่งปกติ e-wallet เเบรนด์อื่น ๆ อนุญาตให้ใช้กับเเพลตฟอร์มตนเองเท่านั้น ก็เป็นเรื่องที่น่าคิดนะครับเพราะเซ็นทรัลก็เป็นห้างยักษ์ในไทย และ JD เองก็เป็นเว็บอีคอมเมิร์ซเบอร์ต้น ๆ ของจีน โดยทาง Central JD Money แอบกระซิบกับ #beartai มาว่า จะมีการร่วมมือกับ JD เเน่นอน! (ฟังเเล้วหนาววว)
ถัดมาที่เเบรนด์นอกแท้ ๆ อย่าง VISA ก็ให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตของคนไทยไม่น้อย โดยเฉพาะการเดินทางในเมืองหลวง ล่าสุด ได้ร่วมมือกับ Transfort for London (ขนส่งมวลชนของลอนดอน ประเทศอังกฤษ) เเละ รถไฟฟ้า MRT ของไทย พัฒนาระบบ contactless พูดง่าย ๆ ก็คือ เเค่คุณมีบัตรเครดิต ก็ขึ้นรถไฟฟ้าได้เเล้ว ไม่ต้องไปเสียเวลาต่อคิวซื้อตั๋วหรือบัตรเติมเงินอีกต่อไป VISA
ซึ่งทาง VISA บอกกับทาง #beartai ว่าผู้ใช้บัตรเครดิตที่มี VISA จะเริ่มเห็นสัญลักษณ์ contactless (หน้าตาคล้าย ๆ สัญลักษณ์ wifi แต่วางเป็นเเนวนอน) ในปี 2020 นี้ ดังนั้น ใครที่พึ่งเปลี่ยนบัตรเครดิตปีนี้ก็ต้องรอเปลี่ยนต่อไปนะ เพราะปกติบัตรเครดิตจะเปลี่ยนบัตรทีละ 5 ปี แต่ถ้าอยากรีบเปลี่ยนก็ยื่นเรื่องขอบัตรใหม่ได้
อย่างไรก็ตามก็ต้องดูเเม่ข่ายอย่าง MRT ด้วยว่าจะพร้อมนำระบบ contactless มาใช้เมื่อไหร่ เพราะถ้ามีเเต่บัตร ไม่มีเครื่องอ่าน ก็ต้องไปต่อเเถวซื้อตั๋วอยู่ดี
มาพูดถึงเเบรนด์ที่เป็นคู่เเข่งสำคัญของ VISA กันบ้าง นั่นก็คือ mastercard (ทางผู้บริหารฝากย้ำมาว่าอักษรที่เป็นโลโก้ของมาสเตอร์การ์ดใช้เป็นตัวพิมพ์เล็กหมดเเล้วนะ) เอาล่ะ มาดูสิ่งที่ mastercard เขากำลังชูและโปรโมตตอนนี้ คือ เทคโนโลยี ‘Real-time payment‘ ซึ่งบางท่านอาจสงสัยว่า ปกติเวลาซื้อของ online ก็ real time อยู่เเล้วนี่?
เเต่ความจริงเเล้ว ถ้าสังเกตดี ๆ เวลาจ่ายเงินซื้อสินค้าออนไลน์มันจะมี delay เเล้วอีกไม่กี่นาทีถึงจะมี SMS ยืนยันจากธนาคารว่าเงินได้ถูกหักเเล้ว ซึ่ง real-time payment จะทำให้เร็วขึ้น แบบไม่ต้องผ่านขั้นตอนอะไรมากมาย ง่าย ๆ เลย คือ “ซื้อปุ๊บ เงินโดนหักปั๊บ” เเต่ก็อย่าซื้อเพลินจนเงินหมดล่ะ!
เทคโนโลยี Fintech ในไทยมีการพัฒนาเปลี่ยนไปทุกปี ทั้งนี้ ก็เพื่อรองรับสังคมไร้เงินสดในอนาคต ซึ่งผู้เขียนก็ขอฝากไว้ด้วยว่า เมื่อการใช้จ่ายมันง่ายซะขนาดนี้ เราก็ต้องระมัดระวังการใช้จ่ายของเราด้วย มิเช่นนั้นจาก Cashless คือ สังคมไร้เงินสด จะกลายเป็น No Cash สังคมไร้เงินในบัญชีนะครับ!!!
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส