หลังจาก #beartai เคยพาไปดูความยิ่งใหญ่อลังการของสำนักงาน Huawei ในเมืองตงกวนของจีนกันแล้ว คราวนี้ก็มาถึงคิว ‘โอปป้า’ ใจดีอย่าง Samsung ที่ได้กรุณาเชิญทีมงานไปเยี่ยมชม “อาณาจักร” Samsung Digital City ที่เมืองซูวอน กันบ้าง! ที่ต้องเรียกว่าอาณาจักร เพราะมีขนาด เกือบ 1 พันไร่ หรือเท่ากับเมืองเล็ก ๆ เมืองนึงเลย เมืองนี้ตั้งอยู่ห่างออกไปจากกรุงโซลประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ
Samsung Digital City เปิดใช้งานตั้งแต่ปี 1969 หรือ เมื่อ 50 ปีก่อนในช่วงที่ Samsung เพิ่งก่อตั้งใหม่ ๆ เป็นที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ Samsung Electronics ซึ่งเป็นเป็นผู้ผลิต สมาร์ตโฟน และเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านที่เราคุ้นเคย โดยปัจจุบันมีพนักงานประจำการมากกว่า 32,000 คน
นอกจากเป็นที่ทำงานของชาว Samsung แล้ว ยังมีศูนย์ C.Lab สนับสนุนสตาร์ตอัปที่มีไอเดียเจ๋ง ๆ มาเสนอ โดย Samsung จะช่วยเหลือด้านกระบวนการคิด เงินทุน ไปจนถึงการผลิต เป็นเวลา 1 ปี หลังจากนั้นเจ้าของไอเดียก็สามารถเลือกได้ว่าจะออกไปสานต่อความฝันด้วยตัวเอง หรือจะพัฒนาต่อกับ Samsung
Sneak Preview ทดลองใช้ 5G
แน่นอนว่าเทรนด์เทคโนโลยีที่มาแรงในปีนี้คงหนีไม่พ้น 5G ซึ่งหลายคนสงสัยว่ามันจะแตกต่างจาก 4G ที่เราใช้กันอยู่อย่างไร ทีมงานได้มีโอกาสสอบถามจากผู้เชี่ยวชาญโดยตรงอย่าง คุณ Junehee Lee ตำแหน่ง Head of Flagship Product Design Group, Mobile Communications Business ของ Samsung Electronics
คุณ Lee เล่าให้เราฟังว่า 5G ได้ถูกใช้งานจริงแล้วในเกาหลีใต้ โดยมีความเร็วสูงสุดมากกว่า 4G ถึง 20 เท่า หากเทียบกับความเร็ว 4G แบบเร็ว ๆ ที่ราว 1 Gbps โดย ซึ่งนั้นหมายความว่าอีกหน่อยมาตรฐานความเร็วเน็ตจะเป็นหลักกิกะไบต์กันแล้ว ส่วน Latency หรือความหน่วงอยู่ที่ต่ำกว่า 1 มิลลิวินาที (หนึ่งในร้อยของวินาที) ความเร็วแบบ Real Time ชนิดที่ว่าใกล้เคียงกับความจริง เหมาะสำหรับเกมเมอร์ที่ต้องการเน็ตแรง ๆ สำหรับเกมประเภท FPS เพราะถ้าช้าไปเสี้ยววินาทีเดียวก็อาจถูกฝั่งตรงข้ามยิงตายซะแล้ว หรือด้านถ่ายทอดสดกีฬาที่ใช้ความเร็วอย่าง Formula 1 เวลาต้องการถ่ายทอดสดจากตัวรถที่วิ่งอยู่ การบังคับรถยนต์ไร้คนขับ (Autonomous Vehicle) ซึ่งถ้าพลาดไปนิดเดียวก็อาจเกิดอุบัติเหตุได้ รวมไปถึงการแพทย์ที่ในอนาคตจะสามารถผ่าตัดทางไกล ซึ่ง SK Telecom ที่ผมได้เยี่ยมชมในวันถัดมาได้โชว์ให้ดูเลยว่าในปี 2049 คุณหมอสามารถผ่าตัดข้ามอวกาศได้ เช่น อยู่บนโลก แต่ผ่าตัดให้คนไข้ที่อยู่ดาวอังคาร!
ความจริง Samsung เขามีการซุ่มพัฒนากันมาเป็นสิบปีแล้ว! แต่เพิ่งเปิดตัวให้ชาวโลกรู้ว่ามันใช้ได้จริงนะ! เมื่อปีที่แล้วในพิธีเปิด Winter Olympic 2018 ที่เกาหลีใต้ โดยใช้โดรนกว่า 1,218 ตัวบินแปลอักษร คำถามต่อมาคือ ถ้าเราไม่ได้เป็นเกมเมอร์ หรือ ทำโพรเจกต์ถ่ายทอดสด 5G จะมีผลต่อชีวิตมนุษย์ธรรมดาอย่างไร คุณ Lee ตอบทันทีว่า Good Question!
หากเทียบกับการรับส่งข้อมูลทั่วไปเช่นรูปภาพ หรือไลน์คุยกันก็อาจไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เห็นได้ชัดคือการโหลดไฟล์ขนาดใหญ่ เช่นโหลดหนังจาก Netflix ซึ่งใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถโหลดมาดูได้ทั้งซีรีส์ (แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนดูจะดูเร็วขึ้นนะ เพราะมีเป็นสิบตอน) #beartai จึงอยากลองของ ขอคุณ Lee ลองใช้ 5G สักหน่อย ปรากฎว่าคุณ Lee ใจดีจริง ๆ ให้ Samsung Galaxy S10 5G สมาร์ตโฟนรองรับ 5G เครื่องแรกของโลกที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา (ซึ่งยังไม่เข้าไทย) มาลองใช้
เครื่องพร้อม ระบบพร้อม มาดูกันว่าจะแรงแค่ไหน!
หลังจากลองใช้ดูแล้วพอกลับมาใช้ 4G ที่คุ้นเคย รู้สึกว่าต่างกันสิ้นเชิง เพราะ 5G สั่งได้ดั่งใจ เลื่อนดู Youtube แทบไม่สะดุด ความเร็วขณะใช้บริเวณชานเมืองอยู่ที่ 400 Mbps แต่พอมาในเมืองพุ่งเป็น 1Gbps + แต่ถ้าไปชั้นใต้ดิน อาคารสูง หรือผู้คนหนาแน่น ความเร็วจะ drop หรือเปลี่ยนเป็น 4G ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับเครือข่ายผู้ให้บริการสัญญาณด้วย (ผมทดสอบกับซิมการ์ดของค่าย KT) ส่วนใครที่อยากลองซื้อไปใช้ตีเป็นเงินไทยก็อยู่ราว ๆ 39,000 บาท ซึ่งคุณ Lee ก็บอกว่า Samsung มองเห็นอนาคต! แม้บางประเทศยังไม่มีระบบ 5G รองรับ แต่เจ้าเครื่องนี้ถูกออกแบบมาให้รองรับการใช้งานล่วงหน้าไปอีก 1.5-2 ปีเลยทีเดียว ส่วนประเทศไหนยังไม่รองรับ 5G แต่ถ้ามี Samsung Galaxy S10 5G ก็สามารถใช้ 4G แบบเดิมได้ตามปกติ
ระบบ Samsung Knox ที่ไม่ทำให้เครื่องถูกน็อก
หลังจากพูดถึง 5G กันแล้ว มาเรื่องความปลอดภัยกันบ้าง หากพูดถึงระบบปฏิบัติการ Android ของ Samsung คนก็มักจะคิดว่ามีความเสี่ยงถูกแฮกได้เพราะเป็นระบบ Open Source คิดเป็นสัดส่วน 90% ของผู้ใช้สมาร์ตโฟนทั่วโลก แต่ Samsung ก็พัฒนา “Knox” ขึ้นมาเพื่อลบข้อครหานี้ไปอย่างสิ้นเชิง ระบบนี้ถูกพัฒนามา 6 ปีกว่าแล้ว (ตั้งแต่ปี 2012) และสมาร์ตโฟนของ Samsung รุ่นใหม่ ๆ ก็ติดตั้งระบบนี้มาในตัวตั้งแต่วันแรกที่เราซื้อมา
คุณ Nick Dawson หนึ่งในผู้ร่วมพัฒนาระบบนี้เล่าให้ฟังว่า ระบบปฏิบัติการทั่วไปการันตีผู้ใช้ว่าระบบปลอดภัย ซึ่งก็อาจจะเป็นจริงในครั้งแรกที่ใช้งาน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัยตลอดไป เพราะแฮกเกอร์มักจะทำให้การทำงานของเครื่องดูปกติ ทั้ง ๆ ที่ระบบถูกแฮกไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้!
ด้วยเหตุนี้ Samsung จึงคิดค้นระบบ “Knox” (ตั้งชื่อตามฐานทัพของสหรัฐฯที่ใช้เก็บทองคำจำนวนมหาศาลของประเทศไว้) Knox เป็นระบบ Hardware ที่ฝังอยู่ในส่วนที่เรียกว่า Kernel ในชิปของสมาร์ตโฟน มีหน้าที่ควบคุมความปลอดภัยแบบ real time นั่นหมายความว่าหากมีใครเอามือถือเราไปใช้ เพียงแค่ลักษณะการพิมพ์ข้อความต่างจากเรา เจ้า AI ของ Knox ก็สามารถสั่งปิดการใช้งาน (Auto Lock) ของเครื่องโดยทันที! นอกจากนั้น Knox ยังมีความปลอดภัยแบบหลายชั้น (Multi-layer security) ซึ่งเคยมีการทดสอบให้แฮกเกอร์สายขาว (White Hacker) มาลองเจาะระบบ ปรากฎว่าสามารถเข้าได้เพียงบางชั้นเท่านั้น สุดท้ายก็ไม่ผ่านชั้นต่อไปเหมือนกันทุกราย
นอกจากนั้น คุณ Nick ยังบอกว่า สิ่งที่น่ากลัวสำหรับยุค IoT (Internet of Things) ไม่ได้อยู่แค่ตัวสมาร์ตโฟนแล้ว เพราะเมื่อใดที่แฮกเกอร์สามารถเจาะระบบของเครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านเช่น ตู้เย็น เครื่องซักผ้า หรือแม้แต่เครื่องปิ้งขนมปัง ที่สั่งการผ่านมือถือได้ นั้่นหมายความว่า เขาสามารถเจาะระบบเป็นทอด ๆ สาวไปถึงมือถือเรา จนถึงการทำธุรกรรมต่าง ๆ ซึ่งเคสนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้วกับคาสิโนแห่งหนึ่งในลาสเวกัส ซึ่งไม่มีใครคาดคิดว่าเจ้าแฮกเกอร์จะจงใจแฮกระบบในบ่อปลาเพื่อที่จะแฮกคาสิโน! เอาเป็นว่าชาว #beartai คนไหนอยากซื้ออุปกรณ์สมาร์ต ๆ มาใช้ในบ้าน ก็ต้องดูถึงความปลอดภัยของระบบซึ่งสำคัญไม่แพ้สมาร์ตโฟนเลยนะ
นอกจากนั้น #beartai ยังได้มีโอกาสเยี่ยมชมบ้านจำลอง Multi Device Experience (MDE) ซึ่งยกของล้ำ ๆ มาตั้งไว้ทุกจุด ไม่ว่าจะเป็นตู้เย็น ทีวี เครื่องซักผ้า ตู้เสื้อผ้า ซึ่งนอกจากความสะดวกสบายแล้ว ความปลอดภัยก็สำคัญไม่แพ้กัน
ธุรกิจ “ครอบครัว” ที่มี “คนทั้งประเทศ” เป็นสมาชิก
หลังจากที่ได้เดินชมงานและนั่งฟังตัวแทนจาก Samsung กันแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมสัมผัสได้หลังจากเดินออกมาที่โรงอาหาร คือความอบอุ่น แม้จะเป็นองค์กรใหญ่ (มาก) แต่ที่นี่เขาเลี้ยงอาหารทุกคน วันละ 3 มื้อ! กินไม่อิ่มให้มันรู้ไป เพราะกองทัพต้องเดินด้วยท้อง นับเป็นการปฏิบัติต่อสมาชิกในองค์กรได้ประทับใจเลยทีเดียว
Samsung ก่อตั้งมาจากบริษัทเล็ก ๆ ที่ค่อย ๆ ขยายเติบโตกลายเป็นแบรนด์สมาร์ตโฟนที่มียอดขายสูงสุดของโลกในปัจจุบัน แต่สิ่งที่น่าทึ่งคือธุรกิจนี้บริหารโดยครอบครัวตระกูล Lee จากรุ่นสู่รุ่น แต่ครอบครัวนี้ทำให้แบรนด์ Samsung โดนใจคนทั้งประเทศ วัยรุ่นที่นี่เรียนจบมาก็อยากทีงานที่ Samsung หรือแม้แต่คนขับแท็กซี่ที่ชวนคุย แม้จะสื่อสารภาษาอังกฤษไม่ค่อยถนัด แต่ก็ยังบอกกับผมว่า “K Pop No.1! Samsung No.1!” เห็นอย่างนี้แล้วก็อยากเห็นแบรนด์เทคโนโลยีของคนไทยที่เวลาไปเที่ยวไหนสามารถเล่าให้ชาวต่างชาติฟังว่าเราก็เป็น “No.1” เหมือนกัน
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส