เมื่อต้นเดือนมีนาคมที่ผ่านมา Nikon ได้เปิดตัว D7200 ซึ่งถือเป็นกล้องระดับกลางรุ่นต่อจาก D7100 ที่เปิดตัวไปตั้งแต่ต้นปี 2013 อย่างเป็นทางการ และทีมงานเว็บแบไต๋ก็ได้โอกาสไปสัมผัสกล้องรุ่นใหม่นี้ จึงขอมาเล่าประสบการณ์ให้ฟังกันครับ
Nikon D7200 นั่นเป็นกล้อง DSLR รุ่นสูงสุดในกลุ่มที่ใช้เซนเซอร์ขนาด DX หรือ APS-C ที่ Nikon จำหน่ายอยู่ในปัจจุบัน (ก่อนหน้านี้จะมี Nikon D300S ที่อยู่ในระดับที่สูงกว่า แต่ก็ไม่มีกล้องระดับนี้ออกใหม่อีกเลยตั้งแต่ปี 2009) การควบคุมของ D7200 จึงเป็นระดับกล้องโปร ตั้งแต่วงแหวนควบคุม 2 วงหน้า-หลัง วงแหวนปรับโหมดถ่ายภาพและความเร็วในการถ่ายที่ซ้อนกัน 2 วง กำลังขยายของ Viewfinder รวมถึงขนาดและน้ำหนักจึงออกแบบมาให้มืออาชีพใช้ ซึ่งสำหรับคนที่คุ้นเคยกับกล้อง D7000, D7100 หรือกล้อง Nikon ในตระกูลที่สูงกว่ามาแล้ว จะปรับตัวใช้งานกล้องได้ไม่ยาก แต่สำหรับผู้เขียนที่เคยเป็นเจ้าของ Nikon D70 ต้นตระกูลของ D7200 เมื่อ 11 ปีที่แล้ว ถือว่าต้องฝึกการควบคุมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ ปุ่มใหม่ๆ ของกล้องพอสมควร 😛
D7200 นั้นปรับปรุงจากรุ่นเดิมหลายอย่าง ทั้งหน่วยประมวลผลรุ่นใหม่อย่าง EXPEED 4 ปรับปรุงโมดูลหาโฟกัสอัตโนมัติใหม่เป็นรุ่น Multi-CAM 3500DX II ทำให้ครอบคลุมช่วงการหาโฟกัสได้กว้างขึ้นถึงระดับ -3EV ซึ่งทำให้หาโฟกัสในที่มืดได้ดีขึ้น พร้อมจุดโฟกัส 51 จุด พร้อมเพิ่มบัฟเฟอร์ในกล้องให้มากขึ้น ทำให้ถ่ายภาพต่อเนื่องได้มากขึ้นเท่าตัว นอกจากนี้ยังเพิ่ม Wi-Fi และ NFC ให้ใช้สั่งงานกล้องและโอนภาพได้ในตัว
Nikon D7200 field test – Spherical Image – RICOH THETA
ความรู้สึกอย่างหนึ่งจากการทดลองใช้ D7200 ในช่วงสั้นๆ คือฟังก์ชั่นวิดีโอทำงานได้ดีกว่ากล้องตัวอื่นๆ ที่เคยใช้มาพอสมควร ทั้งโปรไฟล์แบบ Flat ตัวใหม่ที่เพิ่มเข้ามาในโหมดถ่ายภาพนิ่งและวิดีโอ ทำให้ทำภาพทึบลง แต่เก็บรายละเอียดมากขึ้น ทำให้เอาไปตกแต่งต่อได้มากขึ้น โดยเฉพาะช่างภาพวิดีโอที่ต้องการตกแต่งวิดีโอต่อภายหลัง ส่วนคนที่ถ่ายภาพนิ่ง ก็เหมาะสำหรับช่างภาพที่เน้นถ่าย JPEG เพื่อเอาไปแต่งต่อ ส่วนคนที่ถ่าย RAW อยู่แล้วก็ไม่ต้องสนใจรูปแบบสีมากนักก็ได้ (ตอนนี้ Lightroom 5.7 ก็ยังอ่าน RAW ของ D7200 ไม่ได้) นอกจากเรื่องโปรไฟล์ใหม่แล้ว การควบคุมในขณะที่ถ่ายวิดีโอยังทำได้ยืดหยุ่นพอสมควร เช่นระหว่างถ่ายวิดีโอสามารถปรับชดเชยแสงให้ภาพมืดหรือสว่างได้ทันที โดยไม่ต้องหยุดการถ่ายวิดีโอก่อน หรือฟังก์ชั่นปรับ ISO อัตโนมัติระหว่างถ่ายวิดีโอ ทำให้ลดความกังวลของช่างภาพระหว่างที่ถ่ายวิดีโอได้
แน่นอนว่ากล้องในระดับกลางขึ้นไปอย่าง Nikon D7200 ไม่ได้ออกแบบมาสำหรับคนที่ต้องการความคล่องตัวในการพกพา หรือคนที่อยากได้กล้องเบาๆ เพราะน้ำหนักกล้องรวมเลนส์นั้นถือว่าเป็นภาระสำหรับคนที่ต้องพกกล้องได้อยู่ (เราเคยประสบมาแล้วสมัย D70 ที่น้ำหนักกล้องและอุปกรณ์ทำให้เราเอากล้องติดตัวน้อยลง) แต่สำหรับคนที่ต้องการคุณภาพภาพและการควบคุมที่ไว้ใจได้ D7200 ก็เป็นหนึ่งในกล้องแถวหน้าของโลกครับ
ซึ่งถ้าหากเราได้มีโอกาสรีวิว Nikon D7200 อีกครั้งใน The RevieWER คงจะได้ลงลึกในรายละเอียดกันมากกว่านี้ครับ