วันนี้ (18 ก.พ. 2564) บริษัท แอดวานซ์ ไวร์เลส เน็ทเวอร์ค จำกัด หรือ AWN ผู้ได้รับจัดสรรคลื่นความถี่ 5G ได้ชำระค่าคลื่นความถี่ย่าน 26 GHz เป็นเงินจำนวน 5,719,150,000.00 บาท เรียบร้อยแล้ว พร้อมประกาศเดินหน้าลุย 5G ภาคอุตสาหกรรม กู้เศรษฐกิจไทย
จากการชำระค่าคลื่นความถี่ย่าน 26 GHz พร้อมรับใบอนุญาตในวันนี้ ส่งผลให้ AIS ถือครองคลื่นความถี่ 5G ครบทั้ง 3 ย่าน ได้แก่ ความถี่ต่ำ 700 MHz (เจ็ดร้อยเมกะเฮิรตซ์) สำหรับพื้นที่ห่างไกลตามชนบท, ย่านความถี่กลาง 2600 MHz (สองพันหกเมกะเฮิรตซ์) สำหรับพื้นที่ในเมือง และย่านความถี่สูง 26 GHz (ยี่สิบหกกิกะเฮิรตซ์) สำหรับพื้นที่หนาแน่น เช่น นิคมอุตสาหกรรม
โดยคลื่นความถี่สูง 26 GHz ของ AIS นั้นมีจุดเด่นอยู่ตรงที่ มีแบนด์วิดท์อยู่ที่ 1200 MHz มากที่สุดในไทย ซึ่งแบนด์วิดท์ที่กว้างขนาดนี้พอมาใช้งานกับ 5G mmWAVE ก็จะตอบโจทย์กับการใช้งานด้านอุตสาหกรรมมาก ๆ เนื่องจาก
- เป็นย่านความถี่สูงและมีปริมาณแบนด์วิดท์มากที่สุด รองรับข้อมูลได้มหาศาล และสามารถกำหนดขอบเขตได้แบบเฉพาะเจาะจง อย่างไม่ต้องกังวลเรื่องการกวนกันของคลื่นสัญญาณ
- สามารถออกแบบเครือข่ายได้อย่างสอดรับกับความต้องการที่แตกต่างกันของแต่ละโรงงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีความหน่วงที่ต่ำมาก สามารถตอบสนองการทำงานของอุปกรณ์ในสายพานการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มีระดับความเร็วของการส่ง Data ไร้สาย เสมือนวิ่งอยู่บนสายไฟเบอร์
- ติดตั้งสถานีฐานได้ง่ายดายและรวดเร็ว เพราะอุปกรณ์มีขนาดเล็ก
จึงเป็นเหตุผลที่ว่า AIS เลือกคลื่น 26 GHz มาและเปิดให้บริการทันที เพื่อให้สอดคล้องกับนโยบายภาครัฐในการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทย ร่วมฟื้นฟูเศรษฐกิจในภาพรวม ด้วยการขับเคลื่อนผ่านโครงการระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor – EEC) นั่นเอง
และตลอดปี 2563 ที่ผ่านมา ทาง AIS ยังจับมือร่วมกับผู้นำอุตสาหกรรมระดับประเทศ อย่างสหพัฒนาอินเตอร์โฮลดิ้ง ในการร่วมทุนตั้งบริษัท สห แอดวานซ์ เน็ทเวอร์ค พัฒนาด้าน ICT Infrastructure และเทคโนโลยี 5G, อมตะ คอร์ปอเรชัน ร่วมพัฒนาเมืองอัจฉริยะ (Smart City), สวนอุตสาหกรรมบางกะดี พัฒนาสวนอุตสาหกรรมอัจฉริยะ, สวนอุตสาหกรรมโรจนะ ในการยกระดับภาคการผลิต และ ปตท. ส่งเสริมการใช้เทคโนโลยี 5G สร้างนวัตกรรม Unmanned ภายในพื้นที่วังจันทร์วัลเลย์ จ.ระยอง
ล่าสุดทาง AIS ได้ร่วมกับ เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ (SNC) ผู้ผลิตกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าชั้นนำของประเทศในพื้นที่ EEC นำเทคโนโลยี 5G มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านการผลิตภายในโรงงาน โดยที่ผ่านมาได้ร่วมทดลองการใช้งานบนคลื่นความถี่ 26 GHz แล้วและประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง พร้อมเป็นต้นแบบของการยกระดับภาคอุตสาหกรรมไทยสู่การเป็น Digital Industrial
ทางด้าน ดร. สมชัย ไทยสงวนวรกุล ประธาน EEC Industrial Forum กล่าวถึงการผลักดันเทคโนโลยี 5G ในพื้นที่ EEC ว่า “จุดมุ่งหวังหนึ่งของ EEC Industrial Forum เราต้องการพัฒนา Recourses ทั้งทรัพยากรบุคคล และทรัพยากรด้านดิจิทัล โดยมีกลุ่มผู้นำจากภาคอุตสาหกรรมและภาคการศึกษาร่วมกันเชื่อมประสานพัฒนาความก้าวหน้าที่เป็นจริง สัมผัสจับต้องได้ ผมรู้สึกดีใจที่ในวันนี้ การพัฒนาเทคโนโลยี 5G เราไม่แพ้ชาติใดในโลก ไม่เพียงเท่านี้ ยังเป็นแกนหลักโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่จำเป็นสำหรับภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC ที่เปรียบเสมือนเครื่องยนต์ขับเคลื่อนเศรษฐกิจชุดใหม่ ที่สอดคล้องกับแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อรองรับเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก โดยเทคโนโลยี 5G จะถูกเชื่อมโยงเข้ามาในบทบาทของคลัสเตอร์อุตสาหกรรมดิจิทัล เพื่อการตอบสนองแบบ Real Time รองรับภาคการผลิต การท่องเที่ยว และเกษตรกรรม เช่น ยานยนต์อัตโนมัติ (Autonomous Vehicle) ระบบโรงงานอุตสาหกรรมอัจฉริยะ (High Precision Automatic Industry) การให้บริการด้าน Smart Logistic, IoT และนวัตกรรมต่าง ๆ การบริหารจัดการคมนาคมต่าง ๆ ทั้งทางเรือ หรือสนามบิน เป็นต้น เพื่อผลักดันให้เกิดอุตสาหกรรมใหม่ที่ใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและปรับฐานอุตสาหกรรมเดิมในพื้นที่ ผ่านการวิจัยและพัฒนาร่วมกันระหว่างภาครัฐ เอกชน มหาวิทยาลัย และชุมชนในพื้นที่ ซึ่งจะทำให้เขตพื้นที่ EEC มีศักยภาพสูงด้านการลงทุน ทั้งในไทยและนักลงทุนจากทั่วโลก”
ส่วน นายสมชาย งามกิจเจริญลาภ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอสเอ็นซี ฟอร์เมอร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ตลอดหลายปีที่ผ่านมา เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ ในฐานะผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เรามุ่งมั่นในการปรับระบบการผลิตให้มีความยืดหยุ่นทันต่อสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะปี 2563 ที่ภาคอุตสาหกรรมไทยต่างได้รับผลกระทบจาก COVID-19 ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยี จึงมีส่วนสำคัญอย่างมากในการเชื่อมต่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปได้ โดย AIS ถือเป็นพาร์ตเนอร์ชั้นนำของประเทศที่มีความพร้อมด้วยโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล โดยเฉพาะเทคโนโลยี 5G ที่เข้ามาช่วยตอบโจทย์ภาคการผลิตได้อย่างลงตัว โดยปัจจุบัน ได้มีการประยุกต์ใช้ใน 3 ส่วนหลัก ได้แก่
- 1.5G AGV เป็นการใช้ 5G ควบคุม และสั่งการรถ AGV (Automated Guided Vehicles) ที่ใช้สำหรับการขนส่งชิ้นส่วนที่เกี่ยวข้องกับสายการผลิตภายในโรงงาน และระหว่างโรงงาน เพื่อให้การขนส่งชิ้นส่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้การผลิตมีประสิทธิภาพ เพิ่มผลผลิตให้โรงงาน
- 2. 5G Smart Robot เป็นการใช้ 5G ควบคุม สั่งการ ในส่วนของ แขนกลหุ่นยนต์ (Robot) ที่ใช้งานในส่วนสายการผลิตที่เกี่ยวข้องเช่น Press, Brazing, CNC, Heat& Cool และ Assembly line เป็นต้น โดยเทคโนโลยี 5G จะนำมาช่วยลดความผิดพลาดที่เกิดจากคน (Human error) และช่วยสร้างความปลอดภัย, ลดการเกิดอุบัติเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นกับคนได้
- 3. 5G Active Dashboard การประยุกต์ใช้งาน 5G ในการเชื่อมต่อระหว่าง Server และ Machine เพื่อให้สามารถ Monitoring สายการผลิตต่าง ๆ นำไปสู่การปรับปรุงกระบวนการผลิตให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งทำให้โรงงานเป็น Smart factory อย่างแท้จริง”
ถือว่าเป็นก้าวสำคัญในวงการ 5G ของ AIS ที่ต้องการเอาเทคโนโลยี 5G มายกระดับภาคอุตสาหกรรมให้เป็น Industry 4.0 เพื่อหวังกู้เศรษฐกิจไทยให้ดีขึ้นกว่าเดิม
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส