Bridge Alliance กลุ่มพันธมิตรชั้นนำของผู้ให้บริการโทรคมนาคมระดับนานาชาติ ได้ประกาศความร่วมมือครั้งใหม่กับ Deutsche Telekom AG (DT) ความร่วมมือนี้จะช่วยสร้างโอกาสเติบโตให้กับธุรกิจ Internet of Things (IoT) โดยจะทำให้จำนวนสมาชิกของ Bridge Alliance เพิ่มขึ้นเป็น 35 ราย ครอบคลุมตลาดกว่า 100 แห่ง และเข้าถึงลูกค้ามากกว่าพันล้านรายในเอเชียแปซิฟิก ตะวันออกกลาง แอฟริกา และยุโรป
DT ซึ่งเป็นบริษัทโทรคมนาคมชั้นนำระดับโลกที่ดำเนินงานในกว่า 50 ประเทศ จะเปิดโอกาสใหม่ๆ ในด้าน IoT ให้กับสมาชิกของ Bridge Alliance ในการเข้าถึงตลาดยุโรป ขณะที่ Bridge Alliance จะช่วย DT ขยายบริการ IoT ให้เข้าถึงลูกค้าในฝั่งเอเชียได้มากขึ้น ความร่วมมือนี้จะสร้าง “ประตูเชื่อมยุโรป-เอเชียแปซิฟิก” ที่จะช่วยให้องค์กรต่าง ๆ ขยายขอบเขตตลาดด้าน IoT ได้อย่างหลากหลายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ดร.อง ก๊อก ชวี ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม Bridge Alliance กล่าวว่า “กลุ่ม Bridge Alliance รู้สึกตื่นเต้น และเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับ Deutsche Telekom เข้าสู่ครอบครัวสมาชิก Bridge Alliance ซึ่งกำลังฉลองครบรอบ 20 ปี ในปีนี้ และการเป็นสมาชิกของ Deutsche Telekom จะช่วยให้ Bridge Alliance ขยายขอบเขตความครอบคลุมไปถึงภูมิภาคยุโรป ทำให้ปี 2024 นี้ถือเป็นอีกหมุดหมายที่สำคัญสำหรับ Bridge Alliance และเป็นที่มุ่งหวังถึงความร่วมมือที่มีผล และแข็งแกร่งกับ Deutsche Telekom ในการจับโอกาสการเติบโตทางธุรกิจด้าน IoT นี้ร่วมกัน”
“เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งร่วมกับกลุ่ม Bridge Alliance ซึ่งจะทำให้เกิดการรวบรวมความรู้ ความเชี่ยวชาญทางเทคนิคจากสมาชิกทั้งหมดเข้าร่วมกัน โดยความร่วมมือนี้ จะทำให้เราสามารถนำเสนอโซลูชันการเชื่อมต่อที่ดีที่สุดให้กับลูกค้า เพื่อเอาชนะความท้าทายต่างๆในระดับโลกที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ได้” เดนนิส นิเคิลส์, Managing Director of Deutsche Telekom IoT กล่าวเน้นย้ำ “สำหรับองค์กรธุรกิจในภูมิภาคเอเชีย ในขณะนี้เป็นโอกาสที่ดี และง่ายขึ้นมากในการขยายการทำธุรกิจด้าน IoT ในยุโรป โดยขณะนี้ธุรกิจที่น่าจับตามองอย่างยิ่งคือ การเติบโตของธุรกิจยานยนต์ไฟฟ้าจากเอเชียในภูมิภาคยุโรป ซึ่งลูกค้าในยุโรปจะได้ประโยชน์ด้วยเช่นเดียวกัน ด้วยข้อเสนอระดับโลกที่แข็งแกร่ง ทั้งหมดภายใต้สัญญาเดียว การจัดการเดียว และบริการที่เป็นมาตรฐานทั่วโลก”
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมผู้ผลิตรถยนต์ในเอเชีย โดยเฉพาะตลาดยานยนต์ไฟฟ้าได้เติบโตอย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นในประเทศจีน ญี่ปุ่น หรือเกาหลี โดยจีนถือเป็นผู้นำด้านรถยนต์ไฟฟ้า คิดเป็นประมาณ 60% ของยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลกในปี 2022 ขณะที่ยุโรปเป็นตลาดที่ใหญ่เป็นอันดับสอง โดยมีอัตราการขายรถยนต์ไฟฟ้า หนึ่งในห้าคันสำหรับตลาดฝั่งยุโรป การเป็นพันธมิตรกันระหว่างกลุ่ม Bridge Alliance และ DT จะเป็นจุดเริ่มต้นของการขยายตลาดทั้งสำหรับผู้รับจ้างผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (OEMs) ที่ต้องการมองหาการเชื่อมต่อสื่อสารทั้งข้อมูลและเสียงสำหรับรถยนต์ในระดับโลก นอกเหนือขอบเขตฝั่งเอเชีย หรือ ผู้ผลิตรถยนต์ในยุโรปที่ต้องการขยายตลาดการขายรถไฟฟ้าในเอเชียแปซิฟิก
เป็นที่รู้กันดีกว่า ภูมิภาคเอเชีย เป็นภูมิภาคที่มีความท้าทายในการขยายธุรกิจใหม่ เนื่องจากตลาดในเอเชียมีระดับความเติบโตของตลาด กฎระเบียบ และความสามารถทางเทคโนโลยีที่แตกต่างกันมากในแต่ละตลาด Bridge Alliance สามารถนำเสนอโซลูชันการเชื่อมต่อ IoT ระดับ award-winning ที่หลากหลายและครอบคลุมการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ ช่วยให้องค์กรธุรกิจสามารถพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ต้องการการเชื่อมต่อ IoT ออกสู่ตลาด ทั้งในและต่างประเทศได้ อาทิ การเชื่อมต่อ IoT ของรถยนต์ไฟฟ้าสมัยใหม่ (Connected Car) ที่จำเป็นต้องมีการเชื่อมต่อสู่ศูนย์กลางข้อมูลจากรถยนต์ในหลากหลายประเทศภายในภูมิภาค ด้วยโมเดลการให้บริการที่โดดเด่นไม่เหมือนใคร ลูกค้าสามารถทำสัญญาการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการโทรคมนาคมหลักเพียงรายเดียว และได้รับการสนับสนุนจากสมาชิกโอเปอร์เรเตอร์พันธมิตรกลุ่ม Bridge Alliance ในภูมิภาค วิธีการทำงานนี้จะช่วยขจัดความซับซ้อนของการดำเนินงาน และช่วยให้สามารถออกผลิตภัณฑ์ในหลากหลายประเทศ หรือ ระดับภูมิภาค และยังได้รับเครือข่ายที่มีคุณภาพ รวมถึงได้รับบริการจากผู้เชี่ยวชาญ และมีความชำนาญในตลาดกลุ่มเป้าหมายของตน
นายภูผา เอกะวิภาต รักษาการหัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าองค์กร AIS กล่าวว่า “การที่ Deutsche Telekom เข้ามาอยู่ในกลุ่ม Bridge Alliance จะช่วยเสริมศักยภาพของ AIS ในการส่งมอบบริการด้วยโซลูชันส์ นวัตกรรมดิจิทัล ที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าองค์กรและภาคธุรกิจ ครอบคลุมตลาดทั้งในระดับประเทศ ระดับภูมิภาคอย่างเอเชียแปซิฟิค และในยุโรปโดยเฉพาะการนำเทคโนโลยี IoT และ 5G มาเชื่อมต่อกับภาคอุตสาหกรรมของไทย อย่างอุตสาหกรรมยานยนต์ที่กำลังเคลื่อนตัวสู่ตลาดรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในฐานการผลิตที่สำคัญของผู้ประกอบการยานยนต์ชั้นนำของโลก แน่นอนว่าความร่วมมือในครั้งนี้จะขยายโอกาสให้กับการผลิตยานยนต์และบริการ IoT จากประเทศไทย ส่งออกสู่ตลาดระดับนานาชาติ โดย AIS พร้อมสนับสนุนผู้ประกอบการในประเทศเพื่อให้เกิดการเชื่อมต่อกับศักยภาพของเราในทุกมิติ รวมถึงยังช่วยสร้างโอกาสและส่งเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศให้เติบโตได้อย่างยั่งยืนจากเทคโนโลยีดิจิทัล”