ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา GMM Music ได้ประกาศความร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำจากทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นจากประเทศจีน เกาหลี ญี่ปุ่น และล่าสุดได้การตอบรับจากพันธมิตรยักษ์ใหญ่รายที่ 4 ในการเข้ามาร่วมลงทุนเชิงกลยุทธ์กับ Warner Music Asia (WMA) หนึ่งในผู้เล่นรายใหญ่แห่งอุตสาหกรรมเพลงของโลกจากสหรัฐอเมริกา ความร่วมมือเหล่านี้ยิ่งตอกย้ำความสนใจที่มีต่ออุตสาหกรรมเพลงไทย ซึ่งถือเป็นตลาดเพลงที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

การร่วมมือกับ WMA ยังสะท้อนถึงการปลดล็อกมูลค่าบริษัทของ GMM Music ที่มากกว่า 25,000 ล้านบาท พร้อมกับยกระดับคุณภาพการผลิตในวงการเพลงไทย และขยายตลาดสู่ระดับสากลอย่างชัดเจน โดยในช่วงที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเพลงทั่วโลกเติบโตมากกว่า 100% ตลอดระยะเวลา 8 ปี ตั้งแต่ปี 2015 – 2023 ซึ่งถือเป็นการเติบโตที่สร้างรายได้สูงสุดเป็นประวัติการณ์ และคาดการณ์ว่าในอีก 6 ปีข้างหน้า อุตสาหกรรมเพลงจะเติบโตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 100% ภายในปี 2030

ในปีที่ผ่านมา ตลาดเพลงในภูมิภาคเอเชียมีอัตราการเติบโตที่ 15% ซึ่งสูงกว่าอัตราการเติบโตในตลาดโลกที่ 10% ตามรายงานวิจัย Music in the Air จาก Goldman Sachs โดย GMM Music ซึ่งมีความแข็งแกร่งด้านคลังทรัพย์สินทางดนตรี (Music IP Assets) ที่สั่งสมและพัฒนามากว่า 40 ปี รวมถึงมี Music Infrastructure ครบวงจรและใหญ่ที่สุดในไทย ในปี 2023 บริษัทมีรายรับ 3,914 ล้านบาท เติบโตขึ้น 27% และมีกำไรสุทธิ 402 ล้านบาท เติบโตขึ้น 32%

GMM Music สามารถขับเคลื่อนการเติบโตต่อเนื่องผ่าน Digital Business ซึ่งเป็นจุดแข็งเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญ โดยในปี 2023 GMM Music มียอด Stream สะสมทะลุกว่า 100,000 ล้าน Stream ใน Digital Streaming ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทำให้รายได้ของบริษัทเติบโตสูงสุดในปีที่ผ่านมา การร่วมลงทุนเชิงกลยุทธ์ของ WMA ในครั้งนี้จึงจะมีส่วนช่วยให้ Music IP ของ GMM Music เติบโตในธุรกิจ Digital Business อย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากการลงทุนในเชิงกลยุทธ์นี้ ทั้งสองบริษัทยังจะลงทุนร่วมแบบ Joint-Venture Operation ในการจัดตั้งค่ายเพลงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตร่วมกัน ซึ่งจะมีการพัฒนาศิลปินและเพลงใหม่ในปริมาณที่เพิ่มขึ้น แลกเปลี่ยนความเชี่ยวชาญ และการเข้าถึงทรัพยากรด้านการผลิตระดับแนวหน้าของโลก เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับผลงานและตลาดเพลงไทย อีกทั้ง WMA ยังตกลงจ่าย Minimum Guarantee ที่ 315 ล้านบาท ต่อยอดมูลค่าของ Music IP Assets ให้ GMM Music เพื่อสร้างการเจริญเติบโตของรายได้อย่างต่อเนื่องตลอด 3 ปีข้างหน้า

ทั้งนี้ การผสานจุดแข็ง แลกเปลี่ยนองค์ความรู้ในการสร้างพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ระหว่าง GMM Music และ WMA ในครั้งนี้ ยังเป็นการช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานของอุตสาหกรรมเพลงไทย (Music Infrastructure) สู่การเป็น New Music Economy ระบบเศรษฐกิจใหม่ที่จะเปิดโอกาสให้ทุกคนเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาและใช้ประโยชน์ร่วมกันได้ทั้งระบบ ตามแผนการ Spin-off IPO ที่ GMM Music ได้วางแผนและยึดมั่นเสมอมา”

ภายใต้ความร่วมมือนี้ GMM Music เชื่อมั่นว่า WMA จะเป็นตัวเร่งอัตราการเติบโตทางธุรกิจที่สำคัญให้กับบริษัทฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ โดย GMM Music ได้ตั้งเป้าหมายในการทำกำไรสุทธิให้เติบโตอีกเท่าตัวภายในปี 2030 สอดรับกับแนวโน้มการเติบโตของอุตสาหกรรมเพลงของโลกที่คาดการณ์ว่าจะพุ่งทะยานเติบโตขึ้นเป็นเท่าตัวเช่นเดียวกันในปี 2030