หัวเว่ย จัดงาน “หัวเว่ย เอเชีย-แปซิฟิก อินโนเวชั่น เดย์ (Huawei Asia-Pacific Innovation Day 2018)” ครั้งที่ 4 ที่กรุงเทพฯ โดย “หัวเว่ย เทคโนโลยี” กับ “กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี” ของประเทศไทยร่วมจัดงานนี้ภายใต้แนวคิด “สร้างสรรค์นวัตกรรมนำเอเชียแปซิฟิกก้าวสู่ยุคดิจิทัล (Innovate for a Digital Asia-Pacific)” ผู้เข้าร่วมงานทั้งจากทั้งภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม และภาคการศึกษากว่า 300 คน มีโอกาสร่วมกันศึกษาว่าโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลช่วยส่งเสริมการเติบโตของเศรษฐกิจดิจิทัล ยกระดับชีวิต ผลักดันการสร้างสรรค์นวัตกรรม และปลูกฝังวงจรของการแบ่งปันความสำเร็จร่วมกัน ได้อย่างไร
ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก ถือเป็นตลาดที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดตลาดหนึ่งของโลก และถือเป็นตลาดที่กำลังเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิทัลในระดับอุตสาหกรรม โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจดิจิทัลที่รุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว ในงาน หัวเว่ย เอเชีย-แปซิฟิก อินโนเวชั่น เดย์ ครั้งที่ 4 นี้ ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ให้เกียรติเป็นผู้กล่าวคำปราศรัยในพิธีเปิดงาน กล่าวโดยสรุปว่า “ประเทศไทยจะใช้กลยุทธ์ใดบ้างเพื่อ “เปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิทัล” และเน้นย้ำว่าสังคมแบบดิจิทัลจะช่วยเปลี่ยนและยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ทันสมัยยิ่งขึ้นได้อย่างไร นวัตกรรมที่อาศัยรากฐานของเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร หรือไอซีที ถือเป็นองค์ประกอบที่สำคัญต่อนโยบายประเทศไทย 4.0 และผลจากการก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัลกำลังส่งผลต่อโครงสร้างระบบอุตสาหกรรมต่างๆ ที่เป็นแบบแนวดิ่ง ช่วยให้ภาคธุรกิจมีผลิตภาพสูงขึ้น ลดต้นทุน และช่วยให้นำเสนอผลิตภัณฑ์หรือบริการใหม่ๆ ได้ นวัตกรรมเหล่านี้ยังส่งผลให้เกิดรูปแบบการดำเนินธุรกิจหรือตลาดใหม่ ๆ ได้ อีกทั้งยังช่วยสร้างโอกาสด้านการพัฒนาให้ทุกคน ความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยที่จะส่งเสริมการสร้างหรือพัฒนานวัตกรรมดิจิทัล อีกทั้งยังเน้นย้ำถึงบทบาทของหัวเว่ยในฐานะองค์กรเอกชนที่มีส่วนร่วมพัฒนาอุตสาหกรรมไอซีทีของประเทศไทย คาดหวังว่าประเทศไทยจะมีโอกาสสานความร่วมมือเชิงลึกกับหัวเว่ยต่อไปในอนาคต
นายกัว ผิง ประธานกรรมการหมุนเวียนตามวาระ ของหัวเว่ย เทคโนโลยี กล่าวปราศัยเพื่อเสริมย้ำถึงความสำคัญของการใช้นวัตกรรมดิจิทัลอย่างครบวงจรว่า “ระบบเศรษฐกิจของหลายประเทศในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกกำลังอยู่ระหว่างกระบวนการปรับเปลี่ยนไปสู่ยุคดิจิทัล แต่อัตราการเติบโตนั้นยังไม่คงที่ ช่องว่างระหว่างระบบเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วกับกำลังพัฒนานั้นกลับกว้างยิ่งขึ้น สถานการณ์ที่คล้ายกับ ปรากฎการณ์แมทธิว (Matthew effect) กำลังก่อตัวขึ้นเพราะประเทศที่ปรับเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจไปสู่แบบดิจิทัลสามารถสร้างรายได้จากโครงสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งกว่าประเทศที่มีระบบเศรษฐกิจกำลังพัฒนา อย่างไรก็ดีเรา ทุกคนสามารถร่วมมือกันเพื่อปรับตัวให้เข้ากับความเปลี่ยนแปลงไปสู่ยุคดิจิทัลได้ล่วงหน้า”
พร้อมยกตัวอย่างความต้องการด้านดิจิทัลของแต่ละประเทศโดยเปรียบเทียบกับกับทฤษฎีลำดับขั้นความต้องการของมาสโลว์ “ความต้องการด้านดิจิทัลสามารถแยกย่อยได้หลายลำดับชั้น เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐาน ความมั่นคงปลอดภัย อุตสาหกรรมดิจิทัล และ การพัฒนาสมองดิจิตอล (digital brain)” เมื่อลำดับขั้นของความต้องการเพิ่มสูงขึ้น ภาครัฐยิ่งจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากยิ่งขึ้นเพื่อผสานการทำงานของหน่วยงานภาครัฐแต่ละหน่วย ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และพันธมิตรต่างๆ อีโคซิสเต็ม หรือ ระบบนิเวศเป็นสิ่งสำคัญ โดยภาครัฐต้องเป็นผู้นำ ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ต้องปฎิบัติงานเชิงรุก ในส่วนที่พวกเขาเกี่ยวข้อง และทุกคนในสังคมต้องเรียนรู้เพื่อพัฒนาทักษะทางดิจิทัลของตน”
หัวเว่ย ยินดีและพร้อมจะทำงานร่วมกับประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก เพื่อสร้างวงจรของนวัตกรรมดิจิทัลที่สมบูรณ์ เราพร้อมจะร่วมมือกับทุกประเทศอย่างเปิดเผยและร่วมมือในเชิงลึก หัวเว่ยยังยินดีอย่างยิ่งที่จะแบ่งปันตลาดร่วมกับองค์กรอื่นๆ ที่มีศักยภาพ เพราะเราทุกคนสามารถสร้างการเติบโตให้กับอุตสาหกรรมและช่วยให้ตลาดนี้มีขนาดใหญ่ขึ้นสำหรับทุกคนที่เกี่ยวข้อง”
การผลักดันนวัตกรรมดิจิทัลและการวิจัยในประเทศไทย
ในงานนี้ สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (สนช.) และ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี (ประเทศไทย) จำกัด โดยบันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ระบุถึงการสานความร่วมมือระหว่างผู้ลงนามด้านการวิจัยและนวัตกรรม อันจะช่วยผลักดันประเทศไทยไปสู่การเปลี่ยนแปลงเป็นสังคมดิจิทัล และช่วยนำนวัตกรรมต่าง ๆ ที่คิดค้นโดยคนไทยหรือในประเทศไทยไปสู่เวทีโลก ตัวอย่างของความร่วมมือภายใต้บันทึกข้อตกลงความร่วมมือนี้ได้แก่ :
- การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีระดับสูงที่มีความซับซ้อน (Deep Technology) เพื่อช่วยให้ประเทศไทยรุดหน้าไปสู่ยุค4.0
- เสริมสร้างความร่วมมือและการสื่อสารอันดีตลอดขั้นตอนการวางแผนและพัฒนานวัตกรรม เสริมสร้างความร่วมมือในสาขาความร่วมมือที่มีอยู่เดิม
- สร้างบรรยากาศที่เป็นมิตรและครบวงจร ต่อธุรกิจสตาร์ทอัพในประเทศไทย
- ส่งเสริมความร่วมมือระหว่างภาครัฐและภาคเอกชน พัฒนาบุคลากรที่มีความสามารถผ่านหัวเว่ย โอเพ่นแล็บ (OpenLab) และศูนย์นวัตกรรมและการเรียนรู้ CSIC (Customer Solution Innovation & Integration Experience Center)
- ช่วยให้การสื่อสารระหว่างนักวิทยาศาสตร์ ผู้เชี่ยวชาญ นวัตกร และนักวิจัยอื่นๆ เป็นไปโดยสะดวกยิ่งขึ้น
- ช่วยปรับเปลี่ยนการวิจัยให้เป็นทฎษฎีทางเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) ใหม่ๆ
- การปลูกฝังแนวคิดดิจิทัลอย่างครบวงจรในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
นายเจมส์ วู ประธาน หัวเว่ยเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นำเสนอแผนส่งเสริมนักพัฒนาซอฟท์แวร์ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้สำหรับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (Huawei’s Developer Enablement Plan) อันเป็นแผนการสำหรับสนับสนุนเศรษฐกิจแบบดิจิทัลและการวางรากฐานทางดิจิทัลแบบครบวงจรในภูมิภาค
ภายในระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า หัวเว่ย จะลงทุนกว่า 81 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในโครงการ Huawei OpenLab บ่มเพาะนักพัฒนาระบบคลาวด์ และสร้างผู้เชี่ยวชาญด้านไอซีทีใหม่ ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในโอกาสนี้ หัวเว่ยปรารถนาจะผลักดันนักพัฒนาและผู้เชี่ยวชาญรุ่นใหม่ ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เรามีประสบการณ์และบ่มเพาะศักยภาพด้านไอซีทีมานานกว่า 30 ปี การเชื่อมต่อโปรแกรมต่างๆ (APIs) และ แพลทฟอร์มการพัฒนาของเราช่วยให้นักพัฒนาจำนวนมากรวมถึงเครือข่ายในการพัฒนาในภูมิภาคมีขีดความสามารถสูงขึ้น นี่เป็นโอกาสสำคัญสำหรับนักพัฒนาที่ต้องการสร้างโซลูชั่นสำหรับผลักดันอุตสาหกรรมต่าง ๆ ไปสู่ยุคดิจิทัลและสร้างโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ หากเราทุกฝ่ายทำงานร่วมกัน เราสามารถฝันถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ขึ้นและก้าวไปไกลขึ้น”
หัวเว่ย จะเปิด Huawei OpenLab ในกรุงเดลี ประเทศอินเดียในเดือนสิงหาคมปีนี้ Huawei OpenLab ทั้งที่กรุงเดลีและที่กรุงเทพฯ จะเป็นสถานที่สำหรับให้บริการเกี่ยวกับแพลทฟอร์มนวัตกรรมแบบเปิดกว้างที่หัวเว่ยกับพันธมิตรท้องถื่นรายต่างๆ จะร่วมมือกันพัฒนาโซลูชั่นทางอุตสาหกรรมสำหรับแต่ละท้องถิ่น
ดร. มีร์โก ดรากา นำเสนองานวิจัยหัวข้อ “บทบาทที่เพิ่มขึ้นของไอซีทีต่อเศรษฐกิจ” ที่ หัวเว่ย ดำเนินการวิจัยร่วมกับวิทยาลัยเศรษฐศาสตร์และรัฐศาสตร์แห่งลอนดอน กล่าวโดยสรุปแล้ว งานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลจะช่วยเพิ่มผลิตภาพได้เป็นอย่างมาก และคนทั่วไปจะได้รับประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสารแบบ 5G คลาวด์ อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (IoT) บิ๊กดาต้า และปัญญาประดิษฐ์ (AI)ในอีก 10 ถึง 15 ปีข้างหน้า นอกจากนี้งานวิจัยนี้ยังสรุปว่าไอซีทีเป็นเครื่องมือที่ช่วยกระบวนการถ่ายทอดความรู้ได้ดีกว่าเทคโนโลยีชนิดอื่นๆ ท้ายที่สุดงานวิจัยนี้ชี้ให้เห็นว่าปัญญาประดิษฐ์ยังไม่ส่งผลที่มีนัยสำคัญต่อการจ้างงาน ในทางกลับกัน สภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจและผลพวงที่ตามมากลับจะส่งผลลบต่อการจ้างงานมากกว่าปัญญาประดิษฐ์