LINE ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือ “ประชารัฐรวมใจ เพื่อคนไทยมีงานทำ” ร่วมกับ กระทรวงแรงงาน และ บริษัทจัดหางาน สเกาท์ เอาท์ จำกัด มุ่งเน้นช่วยเหลือคนไทยให้สามารถเข้าถึงตำแหน่งงานที่ว่างได้อย่างสะดวก รวดเร็วผ่านทาง LINE JOBS
ภายในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจครั้งนี้ พลตำรวจเอก อดุลย์ แสงสิงแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน พร้อมด้วย นายจรินทร์ จักกะพาก ปลัดกระทรวงแรงงาน และคณะผู้บริหารกระทรวงแรงงาน ได้ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจในครั้งนี้ด้วย ด้วยความร่วมมือด้านการจัดหางานระหว่าง กระทรวงแรงงาน , บริษัท ไลน์ คอมพานี (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัทจัดหางาน สเกาท์ เอาท์ จำกัด เพื่อแสดงเจตนารมณ์ร่วมกันส่งเสริมให้ประชาชนมีงานทำ สามารถใช้เทคโนโลยีในการเข้าถึงตำแหน่งงานว่างได้อย่างสะดวก รวดเร็ว ตรงตามความต้องการของตลาดแรงงานผ่าน LINE JOBS ตามนโยบายไทยแลนด์ 4.0
เป็นแพลตฟอร์มค้นหางานผ่าน LINE เปิดให้บริการอย่างเป็นทางการตั้งแต่เดือนเมษายน 2561 พัฒนาระบบร่วมกับสตาร์ทอัพไทยคือ บริษัท สเกาท์ เอาท์ จำกัด ให้ผู้หางานสามารถค้นหาตำแหน่งงานที่ว่างผ่านเงื่อนไขที่ผู้หางานต้องการ เช่น ตำแหน่งที่ตั้ง , ทักษะหรือประสบการณ์ และ สายงานที่สนใจ โดยระบบของ LINE JOBS จะคอยจับคู่เงื่อนไขของผู้หางานให้เข้ากับตำแหน่งงานที่กำลังเปิดรับอยู่ในระบบ ซึ่งปัจจุบันมีอยู่เกิน 120,000 อัตราจากมากกว่า 400 แบรนด์ชั้นนำทั่วประเทศ
นายอริยะ พนมยงค์ กรรมการผู้จัดการ LINE ประเทศไทย กล่าวว่า “เว็บไซต์ออนไลน์หางานต่าง ๆ ในปัจจุบัน ยังคงเป็นอุปสรรคสำหรับผู้หางานในประเทศไทย เนื่องจากต้องมีการลงทะเบียนและกรอกข้อมูลรายละเอียดมากมาย ในขณะที่ช่องทางการหาผู้สมัครงานสำหรับผู้ว่าจ้างก็มักเจอปัญหาความล่าช้า ราคาที่ค่อนข้างแพง และไร้ประสิทธิภาพ ด้วยยอดผู้หางานโดยเฉลี่ยผ่านเว็บไซต์หางานต่าง ๆ ไม่เกิน 2 ล้านคน แสดงให้เห็นว่า ผู้หางานส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในโลกออฟไลน์อยู่มาก
LINE JOBS จึงมุ่งใช้ประโยชน์จากฐานผู้ใช้ LINE ที่มีจำนวนมากในประเทศไทย นำเสนอประสบการณ์การสมัครงานที่ง่ายและรวดเร็วให้กับผู้ใช้ เชื่อมั่นว่าจะทำให้ผู้ว่าจ้างและผู้ค้นหางานในธุรกิจประเภท SME ซึ่งเป็นประเภทธุรกิจที่ส่งผลต่อตลาดการหางานของประเทศค่อนข้างสูง ได้เข้าถึง LINE JOBS ได้มากขึ้น และหวังว่า LINE JOBS จะเป็นหนทางช่วยแก้ปัญหาหรืออุปสรรคต่าง ๆ รวมถึงสร้างความเติบโตให้กับอุตสาหกรรมการหางานในประเทศไทยต่อไป”