วันที่29 มิถุนายน 2558 สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) (สพธอ.) หรือ ETDA (เอ็ตด้า) กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เดินหน้าผลักดันการเติบโตธุรกิจพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ของประเทศแบบองค์รวม โดยเปิดโครงการ “Green e-Commerce” บ่มเพาะผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซในไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่ ”มั่นคงปลอดภัย” เพื่อสร้างระบบนิเวศ (Ecosystem) อีคอมเมิร์ซไทยแบบครบวงจร นำร่องเสริมทักษะความรู้แก่ผู้ประกอบการ 400 ราย พร้อมติวเข้มเทคนิคการตลาดออนไลน์และสนับสนุนเครื่องมือทางการตลาดออนไลน์ตลอดทั้ง 2 เดือน ทั้งนี้ ETDA ได้ตั้งเป้าว่าจะเพิ่มผู้ประกอบการ OTOP และ SME เข้าสู่ตลาดออนไลน์ พร้อมสนับสนุนส่งเสริมการทำพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ 10,000 รายในปี 2559
นางสุรางคณา วายุภาพ ผู้อำนวยการ สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็ก ทรอนิกส์ (องค์การมหาชน) กล่าวว่า โครงการ “Green e-Commerce” คือ โครงการบ่มเพาะผู้ประกอบการอีคอมเมิร์ซไทยสู่เศรษฐกิจดิจิทัลที่มั่นคงปลอดภัย เพื่อให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของประเทศ ไทยเติบโตได้อย่างเข้มแข็งและยั่งยืนในระยะยาว
“ที่ผ่านมา แม้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซของไทยจะมีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง แต่ยังถือว่าเติบโตในอัตราส่วนที่น้อย เมื่อเทียบกับการเติบโตของตัวเลขผู้ใช้อินเทอร์เน็ต สมาร์ทโฟน รวมถึงโซเชียลมีเดียของไทย ซึ่งต้องยอมรับว่าประเทศไทยยังคงมีอุปสรรคในการพัฒนาอีคอมเมิร์ซ ไม่ว่าจะเป็น การขาดความรู้ความเข้าใจในการขายสินค้าผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ การขาดทักษะในการทำออนไลน์มาร์เกตติ้ง การขาดพี่เลี้ยงหรือผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยสนับสนุนการทำธุรกิจอย่างครบวงจรเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และยังมีปัญหาทางฝั่งผู้ซื้อที่ไม่เชื่อมั่นในการทำธุรกรรมทางออนไลน์ ETDA จึงเข้ามารับหน้าที่ในการสร้างอีคอมเมิร์ซของประเทศไทยให้มีความน่าเชื่อถือ ได้มาตรฐาน และมั่นคงปลอดภัย เพื่อเพิ่มทั้งปริมาณ และมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับประเทศ”
“เพื่อให้ธุรกิจอีคอมเมิร์ซไทยเติบโตอย่างเข้มแข็ง และน่าเชื่อถือ ผู้ประกอบการ ร้านค้าออนไลน์ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้าร่วมโครงการ “Green e-Commerce” นั้นจึงต้องมีคุณ สมบัติที่สอดคล้องตามข้อกำหนด ร้านค้าทุกร้านต้องจดทะเบียนการค้า (บุคคลธรรมดา) หรือจดทะเบียนนิติบุคคลไม่ต่ำกว่า 6 เดือน จำหน่ายสินค้าที่ถูกต้องตามกฎของสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และองค์การอาหาร และยา (อย.) และที่สำคัญต้องสามารถตรวจสอบตัวตนของธุรกิจได้โดยเจ้าหน้าที่ของ ETDA”
ดร.รัฐศาสตร์ กรสูต ผู้อำนวยการอาวุโส สำนักส่งเสริมธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ ETDA กล่าวว่า จากข้อมูลของกรมการพัฒนาชุมชน กระทรวงมหาดไทย มีผู้ประกอบการ OTOP 36,092 ราย มีสินค้ารวม 71,739 ผลิตภัณฑ์ (ข้อมูลจากรายงานจำนวนผู้ผลิต ผู้ประกอบการและผลิตภัณฑ์ OTOP ปี 2555) หากสามารถผลักดันให้ผู้ประกอบการ OTOP SME เข้าสู่โครงการ “Green e-Commerce” เพื่อสนับสนุนให้ดำเนินการธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่มั่นคงปลอดภัย จะสร้างมูลค่ามหาศาลให้กับทั้งผู้ประกอบการและมูลค่าทางเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่ง ETDA วางแผนการดำเนินงาน ด้วยการทำงานร่วมกับศูนย์การเรียนรู้ต่างๆ เช่น ศูนย์การเรียนรู้ ICT ชุมชน ที่กระจายตัวในชุมชนต่างๆทั่วประเทศแล้วกว่า 2,000 แห่ง เป็นต้น โดยมุ่งถ่ายทอดความรู้และทักษะการทำธุรกิจอีคอมเมิร์ซให้กับผู้ดูแลศูนย์การเรียนรู้เพื่อให้เป็นวิทยากรชุมชน ในการถ่ายทอดความรู้และทำหน้าที่เป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้ผลิตและผู้ประกอบการในชุมชนต่อไป
“ในการดึง OTOP SME เข้าสู่ระบบ เราวางแผนที่จะผลักดันเว็บไซต์ Thaiemarket.com ซึ่งเป็นเว็บ e-Directory ของร้านค้าออนไลน์ในโครงการ “Green e-Commerce” ให้กลายเป็นแพลตฟอร์มออนไลน์ของตลาด OTOP SME ซึ่งตั้งเป้าพัฒนาทักษะด้านอีคอมเมิร์ซและดึงผู้ประกอบการ OTOP SME เข้าสู่ตลาดออนไลน์ จำนวน 10,000 รายในโครงการ “Green e-Commerce” ภายในปี 2559”
ดร.รัฐศาสตร์ บอกกับทีมงานแบไต๋ว่า “เราได้เห็นการเติบโตของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตสูงขึ้นมาก แต่ในขณะเดียวกันการทำการตลาดด้าน e-Commerce นั้นกลับไม่โตอย่างที่ควรจะเป็น ซึ่งพบปัญหาอยู่สองส่วนคือ 1.ความรู้ในการทำการตลาดดิจิทัลของบ้านเรานั้นอาจจะยังมีบางส่วนที่ยังต้องปรับปรุง ซึ่งโครงการ Green e-Commerce ก็จะเข้ามาช่วยในส่วนตรงนี้ด้วย 2. ความไม่มั่นใจในการซื้อขายทางออนไลน์ของคนไทยเนื่องจากมีข่าวที่ออกมาว่าโกงกันบ้าง จ่ายเงินไม่ได้ของบ้างซึ่งข่าวพวกนี้จะกระจายไปไวมาก จึงเป็นที่มาของการจัดโครงการ Green e-Commerce ขึ้นมาเพื่อต้องการที่จะสร้างโลกที่สมบูรณ์ของทั้งผู้ขายและผู้ซื้อ รวมถึงเรื่องของแพลตฟอร์มและภาครัฐที่จะเข้ามาช่วยดูแล ซึ่งโครงการนี้จะรวบรวมผู้ประกอบการที่น่าเชื่อถือและไว้ใจได้ จากการคัดกรองรายชื่อร้านค้าจากเว็บไซต์ Thaiemarket.com และต่อไปเราจะสร้างโอซีซี ที่จะช่วยแก้ไขการเข้าใจผิดหรือกรณีที่มีข้อพิพาทที่เกิดขึ้น โอซีซีก็จะช่วยเคลียร์ให้ ทีมงานแบไต๋ได้ถามว่า อยากให้ธุรกิจ e-Commerce บ้านเรานั้นเติบโตมากขนาดไหน? ดร.รัฐศาสตร์ตอบว่า อยากให้มีการพัฒนาไปอย่างต่อเนื่องเพราะยิ่งถ้าเราช้า เราก็จะล้าหลังกว่าประเทศเพื่อนบ้าน และจะสูญเสียโอกาสและลูกค้าของเราไป และก็หวังอยากเห็นธุรกิจ e-Commerce บ้านเรามีรายเล็กหลายๆราย ไม่ใช่มีเพียงแค่รายใหญ่ 2 3 ราย เพราะธุรกิจ e-Commerce นั้นเป็นเรื่องของการกระจายรายได้ ช่วยสร้างโอกาสเพิ่มรายได้ให้กับประชาชน และก็ฝากถึงร้านค้าทุกรายที่ต้องการจะเข้าร่วมกับโครงการนี้ให้ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมต่างๆได้ที่ เว็บไซต์ Thaiemarket.com และก็อยากให้ร้านค้าทุกรายอย่ามองข้ามการจะทะเบียนการค้า อยากให้เปิดตัวเข้าสู่ระบบอย่างถูกต้องเพื่อที่ทางภาครัฐจะได้เข้าไปดูแลความมั่นคงปลอดภัยของทั้งผู้ซื้อและผู้ขายเอง”
ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ : www.Thaiemarket.com และ Green e-Commerce