ความต้องการความปลอดภัยและมั่นคง (Security or Safety Needs) กลายเป็นความต้องการอันดับแรกของคนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา (COVID-19) ทั่วโลก วิกฤติทางสาธารณสุขครั้งนี้ก่อให้เกิดผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขและเศรษฐกิจไทยที่หนักที่สุดครั้งหนึ่งเช่นเดียวกัน ซึ่งอาจกลายเป็นจุดเริ่มต้นของยุคแห่งความไม่มั่นคงปลอดภัย หรือ Insecurity Era
ขยล ตันติชาติวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY ผู้นำการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานความปลอดภัย ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารระดับประเทศ เปิดประเด็นว่า การแพร่ระบาดของ COVID-19 นำพาวิกฤติหลัก 2 ด้าน ได้แก่ วิกฤติด้านสุขภาพ จากการมียอดผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และวิกฤติด้านเศรษฐกิจ จากสถานการณ์ความท้าทายที่กำลังเกิดขึ้นต่อจากนี้ ทั้งสองวิกฤตดังกล่าว ได้สร้างความเปลี่ยนแปลงต่อพฤติกรรมและความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตของผู้คนอย่างเห็นได้ชัด
จากข้อมูลของสถาบันวิจัยและพัฒนารพีพัฒนศักดิ์ ศาลยุติธรรม พบว่า เมื่อเกิดวิกฤติต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อด้านสุขภาพหรือด้านเศรษฐกิจ อาทิ วิกฤติต้มยำกุ้ง วิกฤติน้ำท่วมใหญ่ วิกฤติโรคเมอร์ส-คอฟ มักมีการเพิ่มขึ้นของคดีอาญาจากช่วงก่อนหน้าราว 5-12% และมีการคาดการณ์ว่า แนวโน้มปริมาณคดีอาญาซึ่งรวมถึงการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์หลังสถานการณ์ COVID-19 อาจเพิ่มขึ้นถึง 20% ผู้คนจึงยิ่งต้องการความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินมากขึ้น เพิ่มเติมไปจากความปลอดภัยจากการติดเชื้อ
จาก COVID-19 สู่สังคมยุค Insecurity Era ที่กำลังกลายเป็น “ปัญหาระดับชาติ” ขยล ประเมินว่า การยกระดับมาตรฐานการรักษาความปลอดภัยให้กลายเป็นระบบรักษาความปลอดภัยอัจฉริยะ หรือ Smart Security จะเข้ามามีบทบาทต่อผู้คนมากกว่าในอดีต ผสมผสานอยู่ในชีวิตประจำวันผ่านการสร้างดิจิทัลแพลตฟอร์มหลากหลายกลุ่ม
เริ่มต้นจากเทคโนโลยีด้านอสังหาริมทรัพย์ (Prop Tech) ไม่ว่าในบ้าน คอนโด อาคารสำนักงาน ห้างสรรพสินค้า ต่างต้องการเทคโนโลยีที่เข้ามาควบคุมมาตรการความปลอดภัยที่เข้มข้นมากขึ้น ผสมผสานเทคโนโลยีรักษาความปลอดภัยและการควบคุมทุกอย่างแบบไร้รอยต่อ (Seamless) ให้สามารถเห็นภาพรวมของสถานที่ที่เราต้องการเห็นได้แบบทันท่วงที (Real Time) มีระบบคัดกรองคนเข้าอาคารที่เข้มงวด สามารถตรวจจับ (Detect) บุคคลไม่พึงประสงค์และเตือนไปยังผู้เกี่ยวข้องได้ ขณะเดียวกันก็ยังต้องสะดวกต่อผู้อยู่อาศัยหรือผู้ใช้บริการในการบริหารจัดการและไร้การสัมผัส (Touchless) เพื่อให้แน่ใจได้ว่าปลอดภัยจากความเสี่ยงด้านโรคภัย
ขณะที่อีกกลุ่มคือเทคโนโลยีด้านการท่องเที่ยว (Travel Tech) เมื่อการเดินทางท่องเที่ยวเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ หน่วยงานทั้งภาครัฐและภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจให้บริการสนามบินและแหล่งท่องเที่ยวต่างมีการปรับตัวในการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยเพื่อควบคุมและป้องกันภัยที่อาจเกิดขึ้นระหว่างการเดินทาง โดยนักท่องเที่ยวเองก็สามารถเข้าถึงระบบดังกล่าวได้เช่นกัน เช่น ระบบพิสูจน์อัตลักษณ์บุคคล (Automated Biometric Identification System) เทคโนโลยีการยืนยันตัวตนด้วยไบโอแมทริกซ์ที่สามารถตรวจสอบข้อมูลจากฐานข้อมูลได้ในทันที เป็นวิธีการยืนยันตัวตนที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดวิธีหนึ่ง เป็นต้น
ที่ผ่านมา สกาย ไอซีที เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีความปลอดภัยในหลากหลายรูปแบบมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ ระบบกล้อง CCTV พร้อมซอฟต์แวร์ควบคุมที่เชื่อมโยงเทคโนโลยีมาประมวลผลด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) สร้างความปลอดภัยขั้นสูง ทั้งการตรวจจับใบหน้า (Face Recognition) การตรวจจับป้ายทะเบียน (License Plate Recognition) ศูนย์เฝ้าระวังความปลอดภัย (Smart Command Center) โดยอยู่ระหว่างในการพัฒนาดิจิทัลแพลทฟอร์มใหม่ ๆ เพื่อต่อยอดและควบรวมเทคโนโลยีเหล่านี้เข้าด้วยกัน พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคในยุค Insecurity Era
“วันนี้โลกก้าวไปอีกระดับหนึ่ง สิ่งที่ต้องดูแลผู้บริโภคไม่ใช่แค่รักษาความปลอดภัย แต่ต้องดูแลรักษาความปลอดภัยแบบอัจฉริยะ หรือ Smart Security เพื่อให้เท่าทันต่อสถานการณ์ของโลก” ขยล กล่าวทิ้งท้าย
สำหรับ บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY บริษัท Tech Company เต็มรูปแบบที่เน้นการพัฒนานวัตกรรม การให้บริการ Digital Platform และ AI Solutions ให้ลูกค้าอย่างครบวงจร เพื่อช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในสังคมด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะของ SKY ICT