Our score
9.0Belkin BoostCharge Pro 65 Watt
จุดเด่น
- ดีไซน์กระทัดรัด สวยงาม น่าใช้
- ชาร์จอุปกรณ์ได้ 2 ตัวพร้อมกัน ได้กำลังไฟสูงสุด 65 Watt รองรับทั้ง USB-PD 3.0 และ PPS
- มาพร้อมการรับประกัน 2 ปี พร้อมประกันอุปกรณ์ต่อพ่วงด้วย
จุดสังเกต
- ถ้าเสียบสายชาร์จ 2 เส้น กำลังไฟสูงสุดในพอร์ตชาร์จหลักจะลดเหลือ 45 Watt ทันทีแม้พอร์ตรองจะเสียบแค่สาย ยังไม่ได้เสียบอุปกรณ์ (ถ้าต้องการชาร์จเร็ว 65 Watt ให้เสียบสายเส้นเดียวเท่านั้น)
เป็นเรื่องน่ายินดีอย่างยิ่งนะครับที่ USB-C กลายเป็นมาตรฐานการชาร์จในปัจจุบันไปแล้ว ยุคนี้จะชาร์จอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ให้เร็วก็ต้องดูหัวชาร์จที่เป็น USB-C นี่แหละ ให้กำลังในการชาร์จที่เร็วกว่าหัวชาร์จที่เป็น USB-A ช่องเสียบใหญ่ ๆ แน่นอน แม้จะชาร์จ iPhone ก็เถอะ ถ้าชาร์จด้วยสาย USB-C to Lightning ก็จะเร็วกว่าการชาร์จด้วย USB-A to Lighting ในยุคนี้เลยมีการแข่งขันกันของหัวชาร์จ หรือ Wall Charger มากมาย ให้มีขนาดเล็กที่สุด และมีกำลังในการชาร์จที่มากขึ้น ซึ่งวันนี้ที่เราจะรีวิวกันคือ Belkin BoostCharge Pro 65 Watt หัวชาร์จ USB-C คู่ตัวล่าสุดจากเบลคินครับ
หน้าตาของ Belkin BoostCharge Pro 65 Watt
หน้าตาของหัวชาร์จรุ่นนี้จะแตกต่างจากหัวชาร์จรุ่นอื่น ๆ สักหน่อยครับ คือปกติหัวชาร์จ USB-C กำลังไฟ 65 Watt เราจะเห็นเป็นก้อนสี่เหลี่ยมแบน ๆ มากกว่า แต่ Belkin BoostCharge Pro 65 Watt จะเป็นทรงสี่เหลี่ยมลูกบาศก์ที่ยาวหน่อย ก้อนใหญ่ประมาณกำด้วยมือได้รอบพอดี ซึ่งถ้าเทียบกับหัวชาร์จ USB-C กำลัง 30 Watt ของแอปเปิ้ลจะเห็นว่าหัวชาร์จของ Belkin มีขนาดเล็กกว่าชัดเจน แถมให้กำลังไฟมากกว่าด้วย เพราะมีการใช้เทคโนโลยี GaN (Gallium Nitride) ที่นิยมใช้ในหัวชาร์จยุคใหม่ครับ
ส่วนขาปลั้กเป็นแบบแบนที่พับได้ ซึ่งก็ทำให้ได้ดีไซน์ที่กะทัดรัดพกพาสะดวกดี แต่ใครชอบขาปลั้กแบนที่พับได้แบบนี้ น่าจะต้องรีบซื้อหากันหน่อยเพราะเร็ว ๆ นี้น่าจะมีการบังคับให้เปลี่ยนเป็นปลั้กแบบขากลมแทน
ด้านพอร์ตชาร์จแบบ USB-C มีมาให้ 2 พอร์ต ไม่มีพอร์ตแบบ USB-A มาให้นะครับ ใครที่ยังใช้สายแบบ USB-A อยู่บ้าง ก็คงต้องหาหัวแปลงมาหากต้องการใช้กับหัวชาร์จรุ่นนี้
กำลังไฟของ Belkin BoostCharge Pro 65 Watt
แน่นอนว่าหัวชาร์จแบบ USB-C ที่มีหลายพอร์ตนั้นจะมีกำลังจ่ายไฟที่แตกต่างกันในแต่ละพอร์ต แต่สำหรับหัวชาร์จรุ่นนี้ก็มั่นใจได้ว่า ไม่ว่าจะเสียบยังไงก็ยังให้กำลังสูงสุดได้ 65 Watt เสมอ ไม่ใช่เสียบพร้อมกัน 2 พอร์ตแล้วกำลังไฟหายไป โดยเงื่อนไขการเสียบของหัวชาร์จรุ่นนี้เป็นดังนี้ครับ
- เสียบพอร์ตเดียว พอร์ตไหนก็ได้ ให้กำลังไฟสูงสุด 65 Watt ในพอร์ตนั้น (อีกพอร์ตหนึ่งห้ามเสียบอะไรอยู่เลย ถึงจะได้กำลัง 65 Watt เต็ม ๆ)
- เสียบชาร์จพร้อมกัน 2 พอร์ต
- พอร์ตบนจะให้กำลังไฟสูงสุด 45 Watt ก็เหมาะสำหรับการเสียบชาร์จโน้ตบุ๊ก แท็บเล็ต
- พอร์ตล่างจะให้กำลังไฟสูงสุด 20 Watt เหมาะสำหรับการเสียบชาร์จสมาร์ตโฟน
- รวมกัน 2 พอร์ตคือ 65 Watt
ซึ่ง Belkin ก็เขียนตัวเลขที่พอร์ตชัดเจนครับ ว่าถ้าเสียบพอร์ตไหนจะให้กำลังมากกว่ากันแน่ ไม่น่าจะเสียบผิดได้
โดยระดับกำลังไฟที่จ่ายได้อย่างละเอียดสำหรับการเสียบชาร์จแค่พอร์ตเดียวคือ
- USB-C PD 3.0 (Power Delivery)
- 5V 3A = 15 Watt
- 9V 3A = 27 Watt
- 12V 3A = 36 Watt
- 15V 3A = 45 Watt
- 20V 3.25A = 65 Watt
- PPS (Programmable Power Supply)
- 3.3 – 11V / 3A = สูงสุด 33 Watt
- 3.3 – 21V 3.25A = สูงสุด 65 Watt โดยปรับความต่างศักย์แบบไดนามิกตามอุปกรณ์ที่รองรับ
ส่วนการเสียบชาร์จ 2 พอร์ตจะจ่ายไฟในระบบ USB-PD ดังนี้
- พอร์ตบนกำลังสูงสุด 45 Watt
- กำลัง 5V 3A = 15 Watt, 9V 3A = 27 Watt และ 15V 3A = 45 Watt
- พอร์ตล่างกำลังสูงสุด 20 Watt
- 5V 3A = 15 Watt และ 9V 2.22A = 20 Watt
ส่วนการจ่ายไฟในระบบ PPS จะจ่ายไฟดังนี้
- พอร์ตบนสูงสุด 45 Watt
- 3V – 5.9V / 3A, 3.3V to 11V / 3A และ 3.3V to 16V / 2.81A
- พอร์ตล่างสูงสุด 20 Watt
- 3.3V – 11V / 3A
การใช้งานจริง
เราทดสอบกระแสการชาร์จในการใช้จริงด้วยการชาร์จ MacBook Air M2 ครับ วัดกระแสไฟที่จ่ายออกมาได้ 19.8V 2.95A หรือราว ๆ 60 Watt ส่วนการชาร์จกับ MacBook Air M1 จะรับกระแสได้ 19.7V 2.36A หรือประมาณ 45 Watt
แต่ถ้าชาร์จ 2 พอร์ตพร้อมกัน ทันทีที่เสียบสายชาร์จเส้นใหม่เข้าไป พอร์ตแรกที่ชาร์จ MacBook Air อยู่จะรีเซตการทำงานใหม่ และจ่ายไฟออกมาราว ๆ 19.8V 2.2A หรือประมาณ 45 Watt ทันที แม้ว่าจะยังไม่ได้เสียบชาร์จอะไรกับสายเส้นใหม่ที่เสียบเข้าไปครับ เพราะฉะนั้นถ้าต้องการชาร์จอุปกรณ์เดียวให้เต็ม 65 Watt ให้เสียบแค่พอร์ตเดียวนะครับ อีกพอร์ตห้ามเสียบสายคาไว้ แม้จะไม่ได้ชาร์จอะไรก็ตาม
ส่วนถ้าเสียบชาร์จไอโฟนไปด้วยเป็นอุปกรณ์ที่ 2 จะวัดกระแสได้ราว 8.89V 1.77A หรือราว ๆ 16 Watt ครับ
จับระยะเวลาการชาร์จ
การทดสอบต่อมาคือเราชาร์จ MacBook Air M1 โดยมีแบตเตอรี่เหลือ 10% ที่ช่อง 45 Watt กับ iPhone 14 Pro โดยมีแบตเหลือ 55% ที่ช่อง 20 Watt พร้อมกัน ซึ่งผลออกมาดังนี้
ระยะเวลา | แบตของ MacBook Air M1 | แบตของ iPhone 14 Pro |
---|---|---|
0 นาที | 10% | 55% |
8 นาที | 20% | 65% |
16 นาที | 30% | 74% |
23 นาที | 40% | 79% |
30 นาที | 50% | 84% |
40 นาที | 61% | 89% |
50 นาที | 70% | 93% |
ก็ถือว่าชาร์จ MacBook Air M1 ได้รวดเร็วเต็มกำลังไฟ 45 Watt ส่วน iPhone ที่ดูชาร์จช้า เพราะแถว ๆ 80% ตัวไอโฟนจะลดกำลังไฟในการชาร์จลงเพื่อถนอมแบตครับ
สรุปหัวชาร์จรุ่นนี้คุ้มไหม
Belkin BoostCharge Pro 65 Watt ตั้งราคาเปิดตัวในไทยไว้ที่ 1,790 บาท ซึ่งก็เป็นราคาระดับเดียวกับหัวชาร์จสเปกประมาณนี้ในท้องตลาดครับ แต่จุดที่แตกต่างจากหัวชาร์จทั่วไปในตลาดคือดีไซน์ที่เป็นทรงลูกบาศก์ ดูกลม ๆ น่ารัก แล้วก็รองรับมาตรฐานการชาร์จทั้ง USB-PD 3.0 และ PPS ทำให้ชาร์จเร็วกับอุปกรณ์ได้มากกว่า แล้วมาพร้อมการรับประกัน 2 ปีพร้อมประกันอุปกรณ์ต่อพ่วงอีก $2,500 ด้วย
ถ้าต้องการสายชาร์จด้วย
ส่วนถ้าใครต้องการสายชาร์จ USB-C ดี ๆ ยังมีสายชาร์จ Belkin BOOST↑CHARGE™ USB-C® to USB-C Cable 100W ขายครับ ซึ่งเป็นสายชาร์จที่ดีไซน์ทนทาน เทสต์การพับหักงอมามากกว่า 25,000 ครั้ง แถมรองรับกำลังไฟได้ถึง 100W โดยมีให้เลือก 2 ความยาว
- รุ่น 2 เมตร ราคา 890.-
- รุ่น 3 เมตร ราคา 990.-
ซึ่งเป็นสายที่ยาวมากในราคาไม่แพงด้วย ไม่ถึงพันบาทก็ได้สายยาว 3 เมตรแล้ว มีให้เลือกทั้งสีดำและสีขาวด้วย แต่สายชาร์จรุ่นนี้จะเน้นที่การชาร์จอย่างเดียวนะครับ ถ้าเอาไปใช้โอนถ่ายข้อมูลจะได้ความเร็วแค่ในระดับ USB 2.0 เท่านั้น
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส