รีวิว Sonos Era 100 และ Era 300 ลำโพงบ้านอัจฉริยะ พร้อมรองรับ Dolby Atmos
Our score
8.9

Sonos Era 100, Era 300

จุดเด่น

  1. ลำโพงบ้านเสียบปลั้กเชื่อมต่อ Wi-Fi พร้อมทำงานตลอดเวลา สั่งงานด้วยเสียงได้
  2. เสียงดีเหมาะสมกับค่าตัว
  3. แอป Sonos ทำงานได้หลากหลาย เปิดเพลงได้แทบทุกแหล่ง ควบคุมลำโพงรอบบ้านให้เปิดเพลงพร้อมกันได้
  4. Era 300 เป็นลำโพงฟังเพลงไม่กี่รุ่นที่รองรับ Dolby Atmos
  5. Era 100 ราคาคุ้มค่า เหมาะแก่การเป็นจุดเริ่มต้นของลำโพงไวไฟในบ้าน
  6. ลำโพง Era สามารถทำเป็นลำโพงลูกในระบบ Sound bar ของ Sonos ได้

จุดสังเกต

  1. ไม่มีช่องเสียบ 3.5 mm และเสียบ LAN ในตัว ต้องซื้ออุปกรณ์เสริมเพิ่ม
  2. Era 300 ไม่สามารถอัปสเกลเพลงสเตอริโอให้กลายเป็นเพลงแบบรอบทิศทางได้
  3. ไม่รู้ว่าเพลงที่กำลังเปิดผ่านแอป Sonos เล่นด้วยคุณภาพระดับไหน
  4. ผู้ใช้ Android ทำ Trueplay ได้แค่แบบ Quick Tuning
  5. ไม่รองรับ Google Assistant
  • คุณภาพเสียง

    9.0

  • รูปลักษณ์

    8.0

  • การเชื่อมต่อ

    9.8

  • ความคุ้มค่า

    9.0

Sonos เป็นบริษัทลำโพงจากอเมริกาที่สร้างชื่อเสียงมายาวนาน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์กลุ่มลำโพงอัจฉริยะสำหรับใช้ในบ้าน ล่าสุดก็ออกลำโพงซีรีส์ใหม่คือรุ่นเล็ก Era 100 ลำโพงทรงกระบอกขนาดย่อม ๆ แต่เสียงแน่น และรุ่นใหญ่ Era 300 ที่มาพร้อมระบบเสียง Dolby Atmos ให้เสียงกระจายไปทั่วห้อง แน่นอนวันนี้เราจัดเต็มรีวิวให้อ่านกันทั้ง 2 ตัวเลย

น้องเล็ก Sonos Era 100

เริ่มต้นด้วย Sonos Era 100 เป็นลำโพงบ้านตัวเล็กที่มาแทนลำโพงตระกูล Sonos One ซึ่งขายมายาวนาน โดยรูปร่างเป็นทรงกระบอกขนาด 182.5 x 120 x 130.5 mm หนัก 2 กิโล ซึ่งแม้จะเป็นลำโพงทรงกระบอกขนาดย่อม ๆ แต่ก็ให้เสียงแบบสเตอริโอเรียบร้อยในรุ่นนี้ครับ ไม่เหมือน Sonos One ที่เป็นลำโพงโมโน

ภายในของ Era 100 ประกอบด้วยลำโพง 3 ตัว โดยเป็น Tweeter 2 ตัวให้เสียงสเตอริโอ และลำโพง Midwoofer อีกตัวเพื่อให้เสียงกลาง-ต่ำ ก็ถือว่าให้เสียงได้ใหญ่เกินตัวครับ

ด้านบนของลำโพงตัวนี้ เป็นแผงควบคุมแบบสัมผัส ทั้งเล่นเพลง-หยุดเพลง เปลี่ยนเพลง ย้อนเพลง และแถบเพิ่ม-ลดเสียง ที่แตะเพื่อเร่งเสียง-ลดเสียงทีละขั้น หรือแตะลากเพื่อปรับระดับเสียงอย่างรวดเร็วก็ได้ นอกจากนี้ยังมีปุ่มเปิด-ปิดการสั่งงานด้วยเสียงอยู่ด้านบน ซึ่งถ้าเปิดใช้งานอยู่จะมีไฟเล็ก ๆ ติดอยู่ตรงนี้

ส่วนด้านหลังลำโพงจะมีปุ่มเพื่อเชื่อมต่อ Bluetooth (ซึ่งปกติเราไม่ค่อยได้ใช้หรอก เราเชื่อม Wi-Fi ในบ้านอยู่แล้ว) แล้วก็สวิตซ์ปิดไมโครโฟนทั้งหมดของลำโพง สำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวจริงๆ และพอร์ต USB-C สำหรับเสียบอะแดปเตอร์แปลงสาย 3.5 mm หรือเสียบสาย LAN ที่ต้องซื้อเพิ่มสำหรับคนที่ต้องการใช้

พี่ใหญ่ Sonos Era 300

ถ้าเทียบกับ Era 100 แล้ว Era 300 ตัวใหญ่กว่ากันเยอะครับ ด้วยขนาด 160 x 260 x 185 mm แล้วหนัก 4.47 กิโล คือหนักเป็นเท่าตัวของรุ่นน้องเลย ซึ่งตัวนี้เป็นลำโพงไลน์ใหม่ที่ไม่ได้มาแทนรุ่นไหนครับ

ด้วยขนาดที่ใหญ่ทำให้ภายในมีลำโพงจัดเต็มถึง 6 ตัวครับ ประกอบด้วย Woofer 2 ตัว ที่วางซ้าย-ขวา แบบสเตอริโอ แล้วก็มี Tweeter อีก 4 ตัว ให้เสียงกลาง-สูง โดยมี 2 ตัวอยู่ด้านข้างซ้าย-ขวา ให้เสียงสเตอริโอ อีกตัวอยู่ด้านหน้าเพื่อขับเสียงร้องให้เด่นขึ้น แล้วตัวสุดท้ายอยู่ด้านบน เพื่อยิงเสียงขึ้นเพดานให้สะท้อนตกลงมาสำหรับเพลงในระบบ Dolby Atmos

ส่วนการควบคุมของ Era 300 นั้นไม่ต่างจาก Era 100 ครับ คือมีปุ่มแบบสัมผัสเพื่อเพิ่ม-ลดเสียง และควบคุมต่าง ๆ เหมือนกัน ต้องใช้อะแดปเตอร์ USB-C ถ้าต้องการต่อเสียง Line-in หรือพอร์ต LAN เหมือนกัน แล้วก็มีสวิตซ์ปิดไมค์เหมือนกันครับ

โดยทั้ง Sonos Era 100 และ 300 มี 2 สีให้เลือกคือ ดำกับขาว ผู้ซื้อสามารถเลือกให้เหมาะกับการแต่งห้องได้ มีโลโก้ SONOS วางแนวดิ่งอยู่หน้าลำโพงให้เห็นว่าโลโก้นี้สามารถอ่านด้านไหนก็เป็นคำว่า SONOS เหมือนกัน นอกจากนี้ใครที่ไม่อยากวางลำโพงบนโต๊ะ ทั้งคู่ก็มีอุปกรณ์เสริมเป็นขาตั้งสำหรับวางพื้น หรือตัวยึดสำหรับติดตั้งกับผนัง

นอกจากนี้ทั้งคู่ยังรองรับ Wi-Fi 6 ในตัว ใช้ได้ทั้งคลื่น 2.4 และ 5 GHz ซึ่งเท่าที่เราใช้มาถือว่าจับสัญญาณได้ดีเลย ไม่มีปัญหาในการใช้งานแม้จะไม่ได้ต่อสายแลนครับ

แอป Sonos ของสำคัญขาดไม่ได้

เราไม่สามารถใช้ลำโพง Sonos Era ทั้ง 2 รุ่นโดยปราศจากแอป Sonos ได้ แอปตัวนี้เลยถือเป็นหัวใจสำคัญในการใช้งาน ซึ่งมันก็มีความสามารถรอบด้านมาก ๆ จนผู้ใช้ลำโพง Sonos ไม่ต้องเปิดแอปสตรีมมิ่งอื่น ๆ มาส่งเพลงขึ้นลำโพงเลยก็ได้ ทุกอย่างจบในแอปนี้แอปเดียวครับ

การตั้งค่า Trueplay ของ Sonos

เราเริ่มต้นใช้แอป Sonos ตั้งแต่วางลำโพงในบ้านเสร็จเรียบร้อยเลย เพราะการเซตอัปให้ลำโพงจับกับไวไฟในบ้าน ก็ต้องทำผ่านแอปนี้ และหลังจากที่ลำโพงใช้งานได้แล้ว สิ่งแรกที่เราแนะนำให้ทำคือจูนเสียงให้เหมาะกับห้องที่วางลำโพงด้วยฟีเจอร์ Trueplay

  • ถ้าไม่มีเวลาจูนมากนัก หรือไม่มีอุปกรณ์ iOS ก็กดเป็น Quick tuning เพื่อให้ลำโพงปล่อยเสียงออกมาแล้วใช้ไมโครโฟนในลำโพงจับเสียงที่สะท้อนกลับมาเพื่อจูนก็ได้
  • แต่ถ้าต้องการคุณภาพสูงสุดก็ต้องกดเป็น Advanced Tuning แล้วผู้ใช้จะถือ iPhone หรือ iPad เดินไปรอบห้อง เพื่อใช้ไมโครโฟนของอุปกรณ์ในการจับลักษณะเสียงในจุดต่าง ๆ ของห้อง เหตุที่ Android ทำไม่ได้เพราะมีหลายรุ่นมากเกินไปจน Sonos จูนระบบให้เหมาะกับไมค์แต่ละตัวไม่ไหว

หลังจากทำ Trueplay เรียบร้อย ลองกดเปิด-ปิดดูเพื่อเสียบเสียงได้ครับ จะรู้สึกว่าถ้าเปิด Trueplay เสียงที่ได้ยินจะชัดใสเคลียร์กว่า

นอกจากนี้เรายังสามารถใช้แอป Sonos เพื่อเซ็ตรูปแบบการใช้งานลำโพงได้หลายรูปแบบ เช่นใช้รุ่นเดียวกัน 2 ตัวในห้องเพื่อทำงานแบบ Stereo Pair ให้มิติเสียงซ้าย-ขวาได้กว้างขึ้น ลึกขึ้น หรือจะใช้เซตอัป Sonor Era ร่วมกับซาวด์บาร์ของ Sonos เอง เพื่อให้ Era เป็นลำโพงเซอร์ราวด้านหลังก็ได้ รวมถึงการใช้งานแบบ Multi Room ที่เอาลำโพง Sonos รุ่นไหนก็ได้ วางต่างห้องกัน แล้วเล่นเพลงเดียวพร้อมกันทั้งบ้านก็ได้

สารพัดบริการเสียงเพลงผ่านแอป Sonos

จุดเด่นของแอป Sonos คือรวมแหล่งเพลงแทบจะครอบจักรวาลให้เปิดจบในแอปเดียวได้ คือเราสามารถล็อกอิน Spotify, Apple Music, Tidal, Youtube Music และอื่น ๆ อีกเพียบให้อยู่ในแอป Sonos ได้ ทำให้เราสามารถค้นหาเพลงจากหลาย ๆ แหล่งได้พร้อมกัน แล้วเลือกว่าจะเปิดเพลงจากบริการไหนไปขึ้นลำโพง รวมถึงสามารถเรียกเพลย์ลิสต์พิเศษอย่าง Daily Mix เพื่อเล่นได้ด้วย และสำหรับ Era 300 ก็สามารถเปิด Apple Music ผ่านแอป Sonos เอง เพื่อให้ได้เสียงเป็น Dolby Atmos ได้เลย

นอกจากนี้สำหรับใครที่มี Music Library อยู่แล้ว เช่นเป็นโฟลเดอร์ Music เก็บอยู่ใน NAS เรายังสามารถส่งให้แอป Sonos เข้าไปสแกน เพื่อแสดงเพลงทั้งหมดที่เราเก็บไว้ และเปิดขึ้นลำโพงได้ทันทีโดยไม่ต้องใช้แอปอื่น ๆ อีก แถมไม่ว่าจะเปิดเพลงจากแหล่งไหน ก็สามารถตั้งเวลาหยุดเพลงได้ด้วย ใครเปิดเพลงกล่อมนอนต้องรักฟีเจอร์นี้

เพียงแต่ว่าเวลาเล่นเพลงผ่านแอป Sonos เราจะไม่เห็นว่ากำลังเล่นเพลงที่คุณภาพไฟล์ระดับไหนอยู่ และการใช้งานฟีเจอร์เฉพาะแพลตฟอร์มบางอย่าง เช่นการเซฟเพลงเข้าคลังเพลงที่ชอบ อาจจะใช้ยากและสับสนกว่าการกดในแอปของแพลตฟอร์มนั้นจริง ๆ และการเล่นเพลงผ่านแอป Sonos จะไม่แสดงชื่อเพลงและหน้าปกในหน้าจอล็อกของ iPhone เหมือนแอปฟังเพลงทั่วไปครับ เห็นว่ามันเคยมีฟีเจอร์นี้ แต่ถูกถอดออกไปก่อนเพื่อแก้ไขไม่ให้ขัดกับไกด์ไลน์ของแอปเปิ้ล

การสั่งงานผ่านเสียง

ปัจจุบันลำโพง Sonos รองรับการสั่งงานผ่าน Amazon Alexa, Apple Siri และ Sonos Voice Control ของตัวเองนะครับ ส่วน Google Assistant ตอนนี้ยังไม่รองรับ ซึ่งน่าจะเกี่ยวกับปัญหาคดีทรัพย์สินทางปัญญาของ Google กับ Sonos เราจึงแนะนำให้ใช้เป็น Sonos Voice Control เพราะสามารถสั่งเล่นเพลง หยุดเพลง เปลี่ยนเพลงได้ง่าย สำเนียงภาษาอังกฤษแบบไทย ๆ ก็สั่งได้

ง่าย ๆ แค่พูดว่า “Hey Sonos” แล้วตามด้วยคำสั่ง เช่น

  • “Play Music” เพื่อเล่นเพลง
  • “Set Volume to 20%” เพื่อปรับระดับเสียงไปที่ 20%
  • “Next” สำหรับเปลี่ยนเพลง
  • “What’s playing” เพื่อขานชื่อเพลง
  • “Add Bedroom” เพื่อเพิ่มลำโพง Bedroom เข้ากรุ๊ปที่กำลังเล่นอยู่
  • ” Pause Kitchen” อยู่เพลงที่เล่นอยู่ที่ลำโพงห้องครัว
  • “Play Jazz everywhere” เล่นเพลงแจ๊ส ทุกลำโพงในบ้าน
  • “Set a Timer for 10 minutes” ตั้งเวลาแจ้งเตือน แล้วสั่ง “Stop the timer” เพื่อหยุดการเตือน
  • “Play this for 30 minutes” ตั้งเวลาหยุดเพลง สำหรับเปิดเพลงนอน

ส่วนการสั่งงานด้วย Siri จะใช้วิธีที่ต่างไป โดยเราจะต้องเพิ่มลำโพง Sonos เข้าไปในแอป Home ก่อนครับ แล้วค่อยสั่งด้วย Siri ว่าให้เพลงไปเล่นที่ลำโพง หรือเปลี่ยนเพลง

เสียงของ Sonos Era 100

เราพอใจกับเสียงของ Era 100 นะครับ มันเป็นเสียงจากลำโพงตัวย่อม ๆ แต่เสียงแน่นเกินคาด เห็นมันตัวแค่นี้ ถ้าเพลงเปิดในห้องนอน ระดับเสียงไม่เกิน 20 ก็ดังพอสำหรับตอนกลางคืนแล้ว ส่วนถ้าห้องใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อยก็เปิดไม่เกิน 50 ก็ให้เสียงฟูเต็มห้องได้ไม่ยาก เราเลยไม่เคยเปิดถึง 100 เลย แล้วด้วยความที่เป็นลำโพงสเตอริโอในตัวก็ทำให้เสียงมีมิติโอบล้อมได้ดีเลย รู้สึกว่ามีเสียงซ้าย-ขวา แม้จะตั้งแค่ตัวเดียว ในห้อง แต่ถ้าซื้อ 2 ตัวตั้งในห้องแล้วเซตเป็นลำโพงสเตอริโอคู่ก็จะได้มิติเสียงดีกว่านี้อีก

เสียงกลาง-แหลมของลำโพงตัวนี้ทำออกมาได้ดี แม้ไม่ได้โปร่งกว้างเท่ารุ่นพี่ Era 300 แต่ก็เป็นลำโพงที่ให้เสียงได้คมชัด ให้เสียงร้องได้เคลียร์ ส่วนเสียงแหลมสดใสดีให้รายละเอียดเสียงได้พอสมควร

ส่วนเสียงเบสให้ความรู้สึกหนักแน่นได้เกินขนาดลำโพง เสียงเบสไม่กวนเสียงกลาง ไม่กวนเสียงร้อง เป็นเบสที่กระชับ ฟังสนุก แต่ถ้าเทียบกับลำโพงอย่าง Devialet Mania เบสจะยังไม่ได้นุ่มนวลเท่าครับ

เสียงของ Sonos Era 300

เสียงของ Sonos Era 300 จะออกมาในโทนกว้างขวาง กระจายไปทั่วห้องกว่าเสียงของ Era 100 นะครับ แต่ก็จะมีความฟุ้งของเสียงอยู่นิด ๆ ให้ความรู้สึกว่าเป็นเสียงที่ถูกปรุงแต่งมามากกว่า ด้วยความที่มีดอกลำโพงภายในมากกว่าจึงต้องคิดเยอะกว่า Era 100 ที่ให้เสียงแบบตรงไปตรงมาครับ

เสียงกลางแหลมของ Era 300 เปิดกว้าง ล่องลอย ให้ความรู้สึกถึงสเตอริโอแม้ว่าจะใช้ลำโพงแค่ตัวเดียว ให้เสียงร้องได้หวาน ลอยเด่นออกมา ส่วนเสียงเบสออกมาในระดับน่าพอใจ ไม่ไปกวนเสียงกลาง-แหลม แต่เสียงเบสไม่ได้หนาจนเพิ่มความหนักแน่นให้เพลงที่เน้นความล่องลอยได้เต็มที่นักครับ ซึ่งก็สามารถซื้อ Sub ของ Sonos มาเสริมได้

ด้านหลังของ Sonos Era 300
ด้านหลังของ Sonos Era 300

ส่วนเสียง Dolby Atmos ที่เป็นจุดเด่นของลำโพงรุ่นนี้ ที่ถ้าไม่นับลำโพงกลุ่ม Soundbar และ Home Theater เจ้า Era 300 เป็นตัวเลือกเดียวสำหรับลำโพงที่เล่นเพลง Dolby Atmos ได้เลย (เท่าที่เรารู้จักนะ) เราทดสอบผ่าน Apple Music ซึ่งเป็นบริการเดียวที่รองรับ Dolby Atmos บนลำโพงตัวนี้ (แม้ Tidal ก็มี Dolby Atmos แต่ยังไม่รองรับกับ Sonos ในตอนนี้) ก็ให้เสียงที่โปร่งกว้าง ล่องลอยยิ่งขึ้นไปอีกครับ ให้ความรู้สึกว่าเสียงมาโอบรอบตัว มีเสียงจากบนเพดานด้วย แม้จะใช้ลำโพงแค่ตัวเดียวนี้แหละ ตัวเบสเองก็มีความเด่นชัดออกมามากขึ้น เพราะเสียงในระบบ Atmos มีการแยกช่องเสียงสำหรับเบสออกมาเฉพาะด้วย ก็เป็นอีกประสบการณ์ในการฟังเพลงที่ควรหาโอกาสลอง เป็นอีกทางเลือกนอกจากเสียงสเตอริโอปกติ

แต่ไม่ใช่ทุกเพลงที่เล่นในระบบ Dolby Atmos แล้วจะออกมาเสียงดีนะครับ เรื่องนี้อยู่ที่คนมิกซ์ด้วย บางเพลงก็เล่นแล้วเสียงฟุ้งเละเทะจนขอกลับไปฟังเวอร์ชันสเตอริโอปกติก็มี ซึ่งเพลงที่เราใช้เป็น Reference ว่าเป็นเพลง Dolby Atmos ที่ดี คือทุกเพลงของ Summer Will End ครับ เป็นศิลปินไทยที่จริงจังเรื่องการมิกซ์เพลงเป็นเสียงรอบทิศทางทุกแทร็ก ก็ลองหาฟังได้ครับ

อีกเรื่องที่ควรรู้คือ Dolby Atmos จะไม่ทำงานถ้าเราเล่น Era 300 ร่วมกับลำโพงที่ไม่รองรับ Atmos เช่น Era 100 นะครับ สมมุติเราเปิด Era 100 กับ Era 300 พร้อมกันใน 2 ห้อง แล้วอยากฟังเป็น Dolby Atmos ก็ต้องปลด Era 100 ออกจากวงก่อนถึงจะฟัง Dolby Atmos ที่ Era 300 ได้นะครับ

และ Era 300 ไม่สามารถอัปสเกลเพลงธรรมดาที่เป็นสเตอริโอให้เป็นเพลงแบบรอบทิศทางได้เหมือนที่ Sony SRS-RA3000 สามารถทำได้ ต้องใช้เพลงแบบ Dolby Atmos เท่านั้นถึงจะได้เสียงรอบทิศทางครับ

สรุป Sonos Era 100 และ Era 300 น่าซื้อไหม

ราคาของ Sonos Era 100 อยู่ที่ 12,900 บาทนั้นเป็นราคาที่โอเคสำหรับเรานะครับ ที่ราคาหมื่นนิด ๆ ได้ลำโพง Wifi ที่มีความสามารถเต็มขนาดนี้ ทั้งเสียบปลั้กทิ้งไว้ให้พร้อมใช้งานได้ตลอด ตื่นเช้ามา หรือกลับถึงบ้านก็สามารถสั่งเปิดเพลงได้ทันทีโดยไม่ต้องเดินไปเปิดลำโพงก่อน กดจากแอปหรือพูดสั่งมันก็ได้ รองรับสตรีมมิ่งแทบจะทุกค่ายที่คนไทยใช้งานกัน มีแอป Sonos ที่ควบคุมได้ยืดหยุ่น พร้อมได้ความสามารถใหม่เรื่อย ๆ จากการอัปเดตแอปและเฟิร์มแวร์ในลำโพงอีก ซึ่งเสียงของ Era 100 ก็ดีพอสำหรับการใช้งานในบ้านทั่วไปแล้วครับ

ส่วน Sonos Era 300 ตั้งราคาอยู่ที่ 22,900 บาท ก็เพิ่มขึ้นมาอีกหมื่นจาก Era 100 ก็ได้ความสามารถทุกอย่างจากรุ่นน้องไปครบ ๆ ทั้งการเป็นลำโพง Wi-Fi หรือการเชื่อมต่อคลังเพลงได้หลากหลาย เพิ่มเติมด้วยกำลังเสียงที่เพิ่มขึ้น ให้เสียงเบสได้ลึกขึ้น ให้เสียงโดยรวมได้กว้างขึ้น แถมรองรับ Dolby Atmos ด้วย ใครที่ชอบเสียงเอฟเฟกเสียงรอบทิศทางก็คงมี Era 300 เป็นตัวเลือกหลักของลำโพงในตลาดเลย แต่ด้วยขนาดตัวที่ใหญ่ขึ้นมาพอสมควร ทำให้ต้องคิดเรื่องที่วางนิดหนึ่งครับ