Our score
8.5Klipsch Austin และ Nashville
จุดเด่น
- เสียงโปร่ง กว้าง ใสเป็นเอกลักษณ์
- เชื่อมต่อลำโพงได้หลายตัวทั้งในโหมด Stereo และ Broadcast
- กันน้ำระดับ IP67 ตกน้ำไม่เป็นไร
- มีไมโครโฟนในตัวทั้งคู่
- ตั้งราคาได้ดี แข่งในตลาดได้สนุก
จุดสังเกต
- ตัวใหญ่และหนักกว่าคู่แข่ง
- จังหวะกดเข้า Broadcast Mode ต้องอย่ากดนาน ไม่งั้นลำโพงจะรีเซ็ต
- รองรับแต่ SBC ซึ่งเป็น Codec พื้นฐานของบลูทูธเท่านั้น ไม่รองรับ AAC, aptX
- ไม่มีช่องเสียบสาย AUX in
-
คุณภาพเสียง
8.5
-
ความสะดวกในการพกพา
8.0
-
การเชื่อมต่อ
8.2
-
ความคุ้มค่า
9.2
Klipsch เป็นแบรนด์ลำโพงอเมริกันที่ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1946 โดย Paul W. Klipsch นะครับ โดยโดดเด่นที่ลำโพงบ้านและชุด Home Theater แต่เมื่อตลาดลำโพงพกพามาแรง ก็ขอทำลำโพงซีรีส์ใหม่คือ Music City Series ในคอนเซ็ปต์เมืองแห่งเสียงดนตรีของสหรัฐฯ ซึ่งเราจะรีวิวในครั้งนี้ 2 รุ่นคือน้องเล็ก Klipsch Austin และพี่กลาง Klipsch Nashville ส่วนพี่ใหญ่ Klipsch Detroit ถ้ามีโอกาสเราจะรีวิวต่อไปครับ
ซื้อได้ที่นี่เลย
- ซื้อ Klipsch Austin ที่ Shopee, Lazada, Mercular
- ซื้อ Klipsch Nashville ที่ Shopee, Lazada, Mercular
ดีไซน์ของ Klipsch
ทั้ง Klipsch Austin และ Nashville นั้นใช้ภาษาการออกแบบเหมือนกันนะครับ คือโดดเด่นที่ตะแกรงลำโพงเป็นโลหะเจาะช่องกลม ๆ ซึ่งถ้าเป็นตัวเล็ก Austin จะเป็นตะแกรงด้านหน้าแล้วด้านหลังเป็นสายรัดเพื่อยึดลำโพงติดกับอะไรก็ได้ ส่วน Nashville จะเป็นตะแกรงทั้งด้านหน้า-หลัง เพื่อให้เสียงออกรอบตัวครับ
บอดี้ของลำโพงเป็นยางนิ่ม ๆ เหมือนกันทั้ง 2 รุ่น ทำให้จับติดมือดี ไม่หลุดมือง่าย ๆ โดย Austin มีขนาด 105mm x 105mm x 44mm และหนัก 397 กรัม ส่วน Nashville มีขนาด 78mm x 178mm x 81mm และหนัก 970 กรัมครับ นอกจากนี้ยังกันน้ำระดับ IP67 ทั้งคู่ คือลงน้ำได้ไม่เกิน 1 เมตรนาน 30 นาทีครับ ก็ทำให้เอาไปใช้ลุย ๆ ที่ทะเล สระน้ำได้โดยไม่ต้องกังวลว่ามันจะพัง
ที่ตัวลำโพงทั้ง 2 รุ่นจะมีช่อง USB-C อยู่เพียงช่องเดียวครับ ไม่มีช่อง 3.5 mm สำหรับต่อสายเสียง ซึ่งในกล่องก็จะมีสาย USB-C to USB-C มาให้ 1 เส้น แต่ไม่มีหัวชาร์จให้นะครับ ก็ใช้หัวชาร์จ Type-C ปกติได้เลย โดยทั้ง 2 รุ่นรองรับชาร์จเร็ว 18W ถ้าใช้หัวชาร์จที่ให้กำลัง 20W ขึ้นไปก็จะทำให้ชาร์จเสร็จเร็วครับ นอกจากนี้สำหรับรุ่น Nashville ยังใช้เป็น Power Bank สำหรับมือถือได้ด้วย
โดยรุ่นเล็ก Klipsch Austin ใช้เวลาชาร์จจาก 0 จนเต็มที่ 2 ชั่วโมง และใช้งานต่อเนื่องได้ 12 ชั่วโมง ส่วนรุ่นกลาง Klipsch Nashville ชาร์จ 1.5 ชั่วโมง ใช้งานได้ 24 ชั่วโมงครับ
นอกจากนี้ที่ลำโพงทั้ง 2 รุ่นยังมีไมโครโฟนในตัวด้วย ใช้เป็น Speaker Phone ได้เลย
เทียบกับ Marshall
ถ้าเราจับ Klipsch Austin ไปวางเทียบกับ Marshall Willen จะเห็นว่าเป็นลำโพงทรงเดียวกัน มีสายคาดด้านหลังเหมือนกัน เพื่อใช้งานในลักษณะเดียวกันนะครับ แต่ Willen ก็ขนาดเล็กกว่าชัดเจน และก็เบากว่าด้วย
Klipsch Austin | Marshall Willen | |
---|---|---|
ขนาด | 105 x 105 x 44mm | 101.6 x 100.5 x 40.4 mm |
น้ำหนัก | 397 g | 310 g |
การควบคุม | โยก Control Knob ทองเหลืองด้านหน้า | กดปุ่มด้านบน |
อายุแบตฯ | 12 ชั่วโมง | 15 ชั่วโมง |
ไมโครโฟน | มี | มี |
ราคา | 3,990 บาท | 3,990 บาท |
ส่วนคู่ระหว่าง Klipsch Nashville กับ Marshall Emberton II ก็เป็นลำโพงทรงกล่องแนวนอนเหมือนกัน ซึ่งฝั่งมาร์แชลก็ยังเล็กและเบากว่าเหมือนเดิม แต่ Klipsch ได้เรื่องราคาที่ถูกกว่าเป็นพันครับ
Klipsch Nashville | Marshall Emberton II | |
---|---|---|
ขนาด | 78 x 178 x 81mm | 68 x 160 x 76 mm |
น้ำหนัก | 970 g | 700 g |
การควบคุม | โยก Control Knob ทองเหลืองด้านบน | กดปุ่มด้านบน |
อายุแบตฯ | 24 ชั่วโมง | 30 ชั่วโมง |
ไมโครโฟน | มี | ไม่มี |
ราคา | 5,990 บาท | 7,490 บาท |
การควบคุม
มาดูเรื่องการควบคุมกันบ้างครับ ลำโพงทั้ง 2 รุ่นมีการควบคุมที่ตรงไปตรงมา ด้านบนจะมีปุ่มอยู่ 4 ปุ่ม คือ
- เปิด/ปิดเครื่อง
- เชื่อมต่อ Bluetooth
- ลดเสียง
- เร่งเสียง
ซึ่งเราชอบมากที่เวลาเปิดลำโพงมีเสียงเพราะ ๆ ให้ฟังเป็นเอกลักษณ์ของ Klipsch ส่วนการเชื่อมลำโพงหลายตัวแบบ Broadcast mode จะมีทริกในการเชื่อมต่ออยู่หน่อยครับ คือลำโพงหลักให้เชื่อมต่อกับมือถือและเปิดเพลงไปตามปกติ แล้วกดปุ่ม Bluetooth กับ เร่งเสียง พร้อมกันนานประมาณ 1 วินาที ให้พอปล่อยแล้วมีเสียง (แต่อย่ากดนาน เพราะลำโพงจะ Factory Reset แล้วเราต้องเชื่อมบลูทูธใหม่ครับ) แล้วไปต่อที่ลำโพงลูก สำคัญคือลำโพงลูกจะต้องไม่เชื่อมบลูทูธกับโทรศัพท์ไปก่อน (ถ้าเชื่อมโทรศัพท์ไปแล้ว ให้กด Disconnect ก่อน) แล้วกด Bluetooth กับ + นานประมาณ 1 วินาทีเหมือนกัน เสร็จแล้วจะมีเสียงและลำโพงจะเชื่อมต่อระหว่างกันแป๊บหนึ่งก็เรียบร้อย เล่นเสียงเดียวกันออกลำโพงเป็นสิบ ๆ ตัวของ Klipsch ได้เลย ต่างรุ่นกันก็ได้ แค่อยู่ใน Music City Series ก็พอ
ส่วนการเชื่อมลำโพง 2 ตัวในรุ่นเดียวกันให้เป็นโหมดสเตอริโอ เพื่อให้เสียงออกซ้าย-ขวากว้างขวางขึ้น จะเปลี่ยนเป็นการกดปุ่ม Bluetooth กับ ลดเสียงแทน ซึ่งวิธีการกดก็เหมือนกับการใช้ Broadcast Mode ครับ
นอกจากนี้ยังมีแอป Klipsch Connect ในมือถือสำหรับปรับ EQ ของลำโพง และใช้อัปเดตเฟิร์มแวร์ควบคุมลำโพงให้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุดได้ด้วย อย่าลืมโหลดมาใช้กันนะ
เสียงของ Klipsch
สเปกด้านเสียงของลำโพง Klipsch เป็นดังนี้ครับ
Klipsch Austin | Klipsch Nashville | |
---|---|---|
ดอกลำโพง | ขนาด 1.5 นิ้ว 1 ตัว เสียงโมโน | ขนาด 2.25 นิ้ว 2 ตัว เสียงสเตอริโอ |
Passive Radiators | แบบคู่ด้านหน้า-หลัง | แบบคู่ด้านหน้า-หลัง |
ตอบสนองเสียง | 70 – 20,000 Hz | 60 – 20,000 Hz |
กำลังเสียง | 10 W RMS ดังสูงสุด 85 dB | 10 W RMS x 2 ดังสูงสุด 89 dB |
การเชื่อมต่อ | Bluetooth 5.3 รองรับ SBC Codec เท่านั้น | Bluetooth 5.3 รองรับ SBC Codec เท่านั้น |
ลักษณะเสียงของลำโพง 2 รุ่นนี้จาก Klipsch คือค่อนข้างใส โปร่งกว้าง เหมาะมากสำหรับเพลงเสียงร้องผู้หญิงหวาน ๆ แม้จะไม่ได้เน้นด้านเบสมาก แต่ก็ยังได้ยินชัดเจนอยู่ครับ
เสียงของ Klipsch Austin
Austin เป็นลำโพงที่เล็กที่สุดในตระกูล แต่ก็ทำเสียงได้ใหญ่เกินตัวครับ เสียงกลาง-แหลมโปร่งพุ่งมาก และแม้ว่าจะเป็นลำโพงโมโนที่มีดอกลำโพงแค่ดอกเดียว แต่ก็สามารถให้เสียงที่มีลักษณะฟุ้งโอบล้อมออกมาเกินขนาดลำโพงได้ สนามเสียงเหมือนเป็นทรงกลมใหญ่ ๆ อยู่ล้อมลำโพง ไม่ได้รู้สึกว่าเสียงออกมาจากจุดเดียวซะทีเดียว ซึ่งเป็นจุดเด่นของลำโพงรุ่นนี้เลย
ส่วนเสียงเบสแม้ว่าจะไม่ได้ลึกมาก แต่ก็มีในระดับที่ไม่น้อยเกินไปจนทำให้เพลงจืด ซึ่งถ้าต้องการให้เบสมากกว่านี้ก็สามารถปรับ EQ ได้ในแอปครับ
ถ้าเทียบเสียงกับ Marshell Willen ซึ่งเป็นลำโพงขนาดใกล้เคียงกัน เสียงของมาร์แชลจะไม่ได้ฟุ้งเท่า ลักษณะเสียงจะกลาง ๆ ให้ความเป็น Flat มากกว่า และรู้สึกว่าให้เสียงเบสหนักแน่นกว่า แม้ว่าจริง ๆ แล้วตามสเปก Willen ให้เบสต่ำสุดที่ 100 Hz ส่วน Austin ลงไปต่ำถึง 70 Hz แต่เพราะมาร์แชลให้เสียงกลาง-แหลมแบบไม่ได้พุ่ง เลยทำให้รู้สึกว่าเบสสอดคล้องไปกับเสียงอื่น เสียงเลยฟังดูนุ่มนวลมีเบส ส่วนเรื่องความรู้สึกโอบล้อม มาร์แชลให้ความรู้สึกตรงนี้น้อยกว่าครับ และระดับเสียงของมาร์แชลเบากว่า Austin อยู่ระดับหนึ่ง คือเปิด Marshell Willen ครึ่งหลอด 5/10 เสียงจะดังเท่า Austin ที่เปิดประมาณ 3/10
เสียงของ Klipsch Nashville
เสียงของ Nashville ก็เหมือน Austin ที่เพิ่มความโอบล้อมเข้าไปอีกด้วยดอกลำโพง 2 ตัวให้เสียงสเตอริโอ ทำให้เพลงมีมิติยิ่งกว่าเดิม การฟังเพลงผ่าน Nashville จึงสนุกขึ้น นอกจากนี้ยังให้ย่านเบสได้หนาหนักแน่นกว่าน้องเล็กด้วยดอกลำโพงที่มีขนาดใหญ่กว่าด้วย แต่ความใสและเสียงแหลมที่พุ่ง ๆ ของ Nashville ก็อาจทำให้รู้สึกแปลก ๆ บ้างเวลาฟังเพลงที่เคยฟังจากลำโพงอื่นครับ
ถ้าเทียบกับ Marshell Emberton II ลำโพงในพิกัดเดียวกัน มาร์แชลก็ยังให้เสียงที่ Flat กว่าเหมือนเดิม ให้ความรู้สึกว่าเป็นเสียงนุ่มละมุนละไมขึ้นมาทันทีเมื่อเทียบกับเสียงของ Nashville และมาร์แชลให้เสียงเบสที่กลมเป็นลูก ๆ มากกว่า ซึ่งลำโพงทั้งสองรุ่นตอบสนองความถี่ 60 – 20,000 Hz เหมือนกันด้วย ก็คงต้องลองฟังด้วยตัวเองว่าชอบเสียงสไตล์ไหนมากกว่ากันครับ
และ Nashville ให้เสียงดังกว่า Emberton II อยู่เล็กน้อย คือ Nashville เปิดประมาณ 3/10 จะดังใกล้เคียงกับ Emberton II ที่เปิด 4/10
สรุป ลำโพงทั้ง 2 รุ่นนี้เหมาะกับใคร
ตอนนี้ตลาดลำโพงพกพานั้นสู้กันดุเดือดนะครับ ซึ่ง Klipsch Austin และ Klipsch Nashville ก็ทำผลงานออกมาได้ดีสมชื่อ Klipsch ด้วยเสียงโปร่ง ๆ กว้าง ๆ ใส ๆ เป็นเอกลักษณ์ แถมได้ดีไซน์ที่สวย และราคาที่แข่งกับเจ้าตลาดได้เลย โดย Austin เปิดตัวที่ 3,990 บาท และ Nashville เปิดตัวที่ 5,990 บาทครับ ใครที่อยากได้ลำโพงพกพาที่เสียงดี ลุยได้ ตกน้ำไม่เป็นไร Klipsch Music City Series ก็เป็นลำโพงที่เหมาะกับคุณครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส