Our score
8.8

Steelseries Arctis Nova 7 Dragon Edition

จุดเด่น

  1. เป็นหูฟังที่ทำดีไซน์ออกมาได้โดดเด่นมาก ๆ ใส่แล้วเด่นแน่นอน แถมยังเป็นการฉลองปีมังกรได้อย่างดี
  2. แป้นข้างหูสามารถเปลี่ยนเป็นลายที่ชอบได้ จาก 2 ลาย (และไม่ใส่เลย)
  3. สามารถใส่ได้สบาย ใช้งานได้ยาวนาน และไม่เจ็บหูแม้จะใส่แว่นด้วยก็ตาม
  4. สามารถใช้แบบไร้สายได้แบบ 100% โดยไม่ต้องแยกชิ้นส่วนใด ๆ อีก แถมแบตเตอรี่อึดมาก
  5. คุณภาพเสียงดีเกินความเป็นหูฟังเกมมิงโดยทั่วไป

จุดสังเกต

  1. ตัวหูฟังไม่สามารถปรับคุณภาพของเสียงได้หากเชื่อมต่อเข้าสมาร์ตโฟน หรืออุปกรณ์อื่น ๆ นอกจาก PC และ Mac
  2. ไมค์โครโฟนที่มีขนาดเล็ก ทำให้คุณภาพของไมค์โครโฟนยังไม่ได้ดีมากพอที่จะใช้ในการสตรีมมิงได้ แต่ยังสามารถใช้พูดคุยได้
  3. โปรแกรม Steelseries GG ค่อนข้างจำเป็นเพื่อปิดไมค์โครโฟนในโหมด Mic Sidetone
  4. อุปกรณ์เชื่อมต่อต้องใช้ USB-C ในการเชื่อมต่อ ทำให้ถ้าใช้กับคอมพิวเตอร์ ต้องต่อ Dongle เพิ่ม และจะเป็นปัญหาด้านการจัดการสายได้
  • คุณภาพเสียง

    9.0

  • คุณภาพวัสดุ

    10.0

  • ความคล่องตัวในการใช้

    9.5

  • คุณภาพของไมค์โครโฟน

    7.5

  • ความคุ้มค่า

    8.0

ถ้าพูดถึงหูฟังเกมมิง ยังไงหลาย ๆ คนน่าจะต้องนึกไปก่อนว่าเสียงน่าจะต้องไม่ดีแน่ ๆ แต่เอาจริง ๆ ทุกคนเชื่อไหมครับว่าเจ้า Steelseries Arctis Nova 7 นี่เสียงดีกว่าที่คิดไว้ซะอีก แต่แน่นอนว่าบทความนี้ไม่ได้มาแค่เรื่องเสียงของหูฟัง แต่ยังมาพร้อมกับความดุดันของ ‘มังกร’ เพราะนี่คือ Steelseries Arctis Nova 7 Dragon Edition ที่บทความนี้จะรีวิวให้ได้อ่านกัน

หลาย ๆ คนน่าจะจำเจ้าหูฟังรุ่นนี้จากการที่ตอนนี้มันเป็น ‘หูฟังของลุงไนท์’ ที่จะเห็นลุงไนท์ – Gssspotted ใส่เพื่อเล่นเกมบนสตรีมอยู่บ่อยครั้งในปี 2024 นี้ ซึ่งนั่นก็คือหูฟัง Steelseries Arctis Nova 7 Dragon Edition รุ่นนี้นี่แหละครับ โดดเด่นมากเลยทีเดียว แต่นอกจากความโดดเด่นแล้วมีอะไรบ้าง เรามาหาคำตอบไปพร้อมกัน

ดีไซน์

Steelseries Arctis Nova 7 Dragon Edition มีดีไซน์ที่หลุดกรอบจากหูฟังโดยทั่วไปของ Steelseries ครับ ด้วยความที่ นี่เป็นรุ่นพิเศษที่เพิ่มความดุดันแบบมังกรเข้าไปด้วย ทำให้ตัวหูฟังทั้งหมดมีสีออกไปทางสีแดงครับ แต่ที่ชอบก็คือ แม้จะบอกว่านี่เป็นหูฟังสำหรับเฉลิมฉลองตรุษจีน ปีมังกร แต่สีแดงบนหูฟังก็ไม่ได้แดงแบบตะโกนเลย ออกไปทางแดงเข้ม ๆ ที่ทำให้ต่อให้ใส่ออกไปข้างนอก ก็ไม่ดึงดูดความสนใจมากจนเกินไป แต่มากพอที่จะทำให้คนเห็นว่า นี่แหละหูฟังรุ่นพิเศษนะ

โดย Steelseries Arctis Nova 7 Dragon Edition เป็นหูฟังแบบ Over-Ear หรือ Full Sized ครับ ดีไซน์ตัวแป้นของหูฟังด้านนอก เป็นลายมังกรทองที่ทำเป็นแบบ Minimal มากขึ้นหน่อย และมีตัวอักษรจีน ‘龍’ (หลง) ซึ่งมีความหมายว่า ‘มังกร’ และขดตัวอยู่บนเมฆ

ซึ่งใต้ภาพมังกรบนแผ่นแม่เหล็กสำหรับติดบนหูฟังมีอักษรจีน ‘福’ (ฟู) ซึ่งหมายถึงความโชคดีด้านใน คือตัวหูฟังรุ่นนี้สามารถเปลี่ยนแป้นข้างหูฟังได้ครับ โดยจะมีเป็นแป้นลายโลโก้ Steelseries ให้เปลี่ยนด้วย ซึ่งแป้นที่เปลี่ยนได้จะสามารถแกะเปลี่ยนได้แบบแม่เหล็ก ดึงออกมา แล้วใส่แป้นใหม่เข้าไปได้เลยครับ หรือจะปล่อยเปลือย ๆ ก็ได้เหมือนกัน แต่จะเป็นหลุมไปสักเล็กน้อยนะ

ส่วนแถบรองศีรษะเป็นผ้าปั๊มลวดลายเกล็ดมังกรที่สัมผัสค่อนข้างดี ตัวแผ่นรองเอามาเปลี่ยนความตึง และความยาวของสายได้อีกเล็กน้อย ให้เหมาะกับแต่ละคน (อย่างของผู้เขียนต้องปรับนะ ไม่งั้นจะหย่อนเกินจนร่วง) แล้วความรู้สึกในการสวมใส่ก็ดีด้วยนะ แม้ว่าตัวแผ่นรองจะเป็นลายเกล็ดมังกรก็ตาม

ที่เหลือจะออกไปทางเหมือนกับ Steelseries Arctis Nova 7 ครับ คือด้านซ้ายจะมีช่องเสียบสาย 3.5 มิลลิเมตร, ไมค์โครโฟนแบบดึงเข้า-ออกได้, ปุ่มปิดไมค์ และลูกกลิ้งเพิ่ม-ลดเสียงของหูฟัง ส่วนด้านขวา จะมีช่องเสียบชาร์จ USB-C, ปุ่มเปิด-ปิดเครื่อง, ปุ่ม Bluetooth และลูกกลิ้งปรับบาลานซ์ระหว่างเกม และการคอล ซึ่งเอาจริง ๆ ก็เป็นการจัดพอร์ต ปุ่ม และตำแหน่งของพอร์ตที่ครบถ้วนและใช้งานง่ายอยู่เหมือนกันนะ

ส่วนฝั่งฟองน้ำที่แนบกับหู โดยรวมถือว่าใส่สบายเลยครับ ด้วยความที่ตัวหูฟังบุผ้าเอาไว้ เลยเหมาะกับการใส่เล่นเกม หรือฟังเพลงเป็นเวลานาน ๆ ด้วย โดยที่ไม่มีเหงื่อออกมากเท่าไหร่ รวมถึงการใส่ครอบทับแว่นก็ทำได้ค่อนข้างโอเคโดยไม่ปวดหูมากด้วย และเหมาะกับการใส่เป็นเวลานานด้วยเช่นเดียวกัน

ทีนี้หูฟังรุ่นนี้เแป็นหูฟังที่ต่อได้หลายแบบมากครับ ทั้งแบบต่อสายธรรมดา, ต่อแบบ Bluetooth และต่อแบบไร้สายตรง ๆ ผ่าน Wireless USB-C Dongle ที่แถมติดมาในกล่องได้เลย ซึ่งเจ้าตัว Dongle นี้ ว่าง่าย ๆ ก็หน้าตาเหมือนกันกับ Dongle USB-C Wireless ของหูฟังหลาย ๆ รุ่นที่เคยได้สัมผัส และลองใช้มา อย่างปัจจุบัน ผู้เขียนใช้ Arctis 1 Wireless อยู่ Dongle ไร้สายก็หน้าตาแบบนี้เป๊ะ ๆ เลย แต่จะต่างเล็กน้อยคือ Dongle รุ่นนี้มีไฟบอกสถานะการทำงานของตัว Dongle อยู่ด้วย

การควบคุม

Steelseries Arctis Nova 7 Dragon Edition มีการควบคุมที่ไม่ได้ยากมากนักครับ แต่ต้องจำตำแหน่งให้ได้เฉย ๆ คือการจะเปิด-ปิดหูฟัง แนะนำให้ถอดออกมา แล้วค่อยกดเปิด หรือปิด จะทำให้ถนัดกว่ากันเยอะเลย รวมถึงโหมดอื่น ๆ ด้วย เช่นถ้าเราอยากจะเปิด Bluetooth ก็ต้องกดเปิด และกดปุ่ม Bluetooth ค้างไว้ก่อนเพื่อจะได้เข้าโหมด Bluetooth ได้ แต่อีกทางก็คือ ใช้การจำเอาครับ โดยถ้าเราใส่หูฟังให้ด้านไมค์อยู่ซ้ายมือ

  • ด้านซ้ายจะกดปิด-เปิดไมค์ได้ และเพิ่ม-ลดเสียงทั้งหูฟังได้
  • ด้านขวาจะกดเปิด-ปิดหูฟัง, เปิดโหมด Bluetooth หรือเพิ่ม-ลดเสียงเฉพาะเกมหรือเสียงคอลได้ (ChatMix)

ส่วนการควบคุมอื่น ๆ ก็มีไม่มากครับ เพราะที่เหลือจะเน้นที่การปรับแต่งผ่านโปรแกรม ‘Steelseries GG’ ซึ่งงเป็นโปรแกรมปรับแต่งของเกมมิงเกียร์ Steelseries โดยเฉพาะ ซึ่งโปรแกรมนี้สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งบน Windows และ MacOS เลย โดยการปรับแต่งหูฟังด้านใน ทำได้ผ่านเมนู ‘Engine’ ที่อยู่ด้านในโปรแกรมอีกที

ซึ่งในโปรแกรม จะตั้งได้หลายอย่างมาก ๆ จุดแรกที่หลาย ๆ คนน่าจะชอบก็คือ ‘Audio’ ตรงนี้ปรับได้ตั้งแต่ Preset ของเสียง ซึ่งคนชอบเบสหน่อย ๆ แบบผู้เขียน สามารถตั้งโหมดเป็น Bass Boost ให้เสียงเพลงออกไปทางเบสมากขึ้นได้ด้วย และอีกฟีเจอร์ที่หลาย ๆ คนน่าจะไปปิดกันตั้งแต่โหลดโปรแกรมมาเปิดเลย ก็คือ ‘Mic Sidetone’ หรือโหมดสะท้อนไมค์ ที่จะให้เสียงพูดเราสะท้อนเข้าหูฟังของเราด้วย ซึ่งเหมาะกับเหล่าสตรีมเมอร์ที่ต้องการทดสอบระบบเสียงระหว่างไลฟ์อยู่ แต่สำหรับคนทั่วไป ก็ปิดได้ที่นี่เหมือนกัน

อีกจุดที่ปรับได้คือการตั้งเวลาการปิดของหูฟังเมื่อไม่ใช้งาน อันนี้เป็นฟีเจอร์ที่ดีสำหรับหูฟังไร้สายของ Steelseries ทุกรุ่น ที่จะปิดตัวลงหลังจากไม่มีเสียงเล่นออกหูฟัง โดยเราตั้งให้มันดับได้ตั้งแต่ภายใน 1 นาที ไปจนถึงไม่ปิดเลยก็ได้ และยังตั้งค่าให้เป็น Bluetooth เป็นค่าเริ่มต้นก็ได้ พูดถึง Bluetooth แล้ว นอกจากจะเอามาใช้ต่อผ่าน Dongle โดยตรงแล้ว ยังต่อผ่าน Bluetooth ไปพร้อมกันกับ Donge ได้ด้วยนะ

คุณภาพเสียงของหูฟัง

ทีนี้มาดูส่วนหลักของเจ้า Steelseries Arctis Nova 7 Dragon Edition ตัวนี้อย่างเรื่องเสียงกันบ้าง โดยปกติแล้ว จากที่ได้ลอง Arctis 1 Wireless มา แล้วต่อด้วยรุ่นนี้ ทำให้รู้ว่าหูฟังของ Steelseries จะมีโปรไฟล์เสียงที่ออกไปทางแบนเรียบ กล่าวคือจะไม่เน้นย่านใดเป็นพิเศษ แต่จะออกไปทางแบนราบไปเลยมากกว่า ซึ่งถ้าเอามาฟังเพลงแบบไม่ปรับแต่ง ว่ากันตรง ๆ คือมันอาจจะออกมาแบนราบจนรู้สึกว่าเสียงไม่ดีเลยก็ได้ แต่ด้วยความที่ตัวหูฟังสามารถปรับ Equalizer ได้ ทำให้นึกถึงการใช้งานหูฟังที่เน้นสำหรับฟังเพลงโดยเฉพาะอยู่ไม่น้อยเลยเหมือนกัน ที่เราสามารถตั้งค่าคุณภาพเสียงของหูฟังเองได้ ซึ่งจริง ๆ ก็แอบคล้ายกับ Steelseries Arctis 1 Wireless ที่ใช้เป็นหูฟังเล่นเกมหลักอยู่เหมือนกัน ซึ่งหลังจากการปรับแต่งแล้ว มิติของเสียงก็จะออกมาดีขึ้นกว่าเดิมที่เซตค่ามาจากโรงงาน ซึ่งแปลว่า เราสามารถตั้งให้หูฟังนี้เล่นเสียงในแบบที่เราชอบก็ได้เลยเช่นเดียวกัน

เพียงแต่ว่าการปรับแต่งที่ให้มาแน่นขนาดนี้ คือเราสามารถตั้งได้แค่ในคอมพิวเตอร์ผ่าน ‘Steelseries GG’ เท่านั้นนะ จะเลยไปตั้งในสมาร์ตโฟนให้มีเสียงในแบบที่เราชอบก็เลยยังทำไม่ได้ครับ น่าเสียดายตรงจุดนี้ไปเล็กน้อยเหมือนกัน

แต่แน่นอนว่า หูฟังแนวนี้เขาไว้ใส่เล่นเกมกันครับ ซึ่งคุณภาพการเล่นเสียงระหว่างเล่นเกมก็ทำได้ค่อนข้างดีครับ แยกตำแหน่งของศัตรูระหว่างที่เราเล่นเกมแนว FPS หรือ TPS ได้ค่อนข้างดี และที่สำคัญ คือมันไร้สายครับ ! แปลว่าเราจะยืนเล่น ลุกไปเติมน้ำ ยันไปห้องน้ำ ก็ยังใส่หูฟังฟังเพลงไปด้วย หรือคาสายกับเพื่อน ๆ ไว้ก็ยังได้เลย และคุณภาพเสียงของมันก็ไม่ดรอปลงแต่อย่างใดด้วยนะ และแน่นอน ผู้เขียนแอบเอาไปเทสต์กับเกมเพลง หรือเกมจับจังหวะแล้ว ก็บอกได้เลยว่าความหน่วงนี่ไม่มีเลย เรียกว่าไม่ต้องห่วงเรื่องสายเข้ามาเกะกะเวลาเล่นเกมเพลงเลยก็ว่าได้

คุณภาพของไมโครโฟน

ส่วนไมค์โครฟโฟนของ Steelseries Arctis Nova 7 Dragon Edition นั้นจะเป็นก้านของไมค์ที่สามารถดึงเข้า และออกจากตัวหูฟังได้ครับ กล่าวคือถ้าเราไม่ใช้ ก็แค่สอดตัวไมโครโฟนเข้าไปเก็บด้านในของหูฟังตามช่อง ตัวไมโครโฟนก็จะไม่หลุดหายง่าย ๆ (แบบบางรุ่นที่ถอดไมค์เก็บได้) อยากใช้เมื่อไหร่ก็แค่ดึงไมค์ออกมา นอกจากนั้นตัวก้านไมโครโฟนยังสามารถบิดเพื่อให้รับกับหน้าของเราได้ด้วยเช่นเดียวกัน คือสามารถปรับจนมันจ่อปากเราได้นั่นแหละครับ

ซึ่งคุณภาพของไมโครโฟนของหูฟังรุ่นนี้ ยังสามารถทำหน้าที่คุยโทรศัพท์ หรือคุยสื่อสารกันระหว่างเล่นเกมกับเพื่อนได้เป็นอย่างดีเลย และด้วยความที่ไมค์จะจ่อปากได้แทบตลอด ทำให้เราสามารถพูดใส่ตัวไมค์ได้โดยตรงเลยนั่นเอง ลองฟังเสียงที่ได้จากหูฟังรุ่นนี้กันดู และด้วยความที่ตัวไมค์จะรับเสียงแบบรอบด้าน ทำให้มีเสียงรบกวนเข้ามาปนอยู่บ้าง แต่คุณภาพยังสามารถนำไปใช้ในการพูดคุย หรือ Voice Chat ได้แน่นอนครับ

แบตเตอรี่

ขึ้นชื่อว่าเป็นหูฟังไร้สาย แปลว่าสิ่งที่ต้องตามมาด้วยคือเรื่องของแบตเตอรี่ครับ เพราะเราคงไม่สามารถใช้หูฟังไร้สาย เพื่อเล่นเกมได้แบบยาว ๆ โดยที่ไม่ต้องชาร์จแบตเตอรี่กันแน่นอนล่ะครับ ซึ่งข้อมูลสเปกแบตเตอรีของ Steelseries Arctis Nova 7 Dragon Edition บอกว่าสามารถใช้งานได้ 38 ชั่วโมงจากการต่อผ่าน Dongle Quantum 2.0 Gaming Wireless ซึ่่งจากที่ได้ลองใช้งานมา ก็พบว่าตัวหูฟังให้แบตเตอรี่ได้น่าพอใจมากเลยทีเดียว คือสามารถใช้งานได้ยาว ๆ โดยที่แบตเตอรี่ไม่มีหมดครับ อย่างตอนที่ทดสอบเคยใช้งานแบบต่อเนื่องเช้าถึงมืดค่ำ ก็ยังไม่มีปัญหาเรื่องแบตเตอรี่หมดเลยครับ อาจจะได้ 38 ชั่วโมงอย่างที่เขาเคลมก็ได้ แต่ลองนึกภาพว่า ถ้าเราใช้เช้า ถึงเย็น และเสียบชาร์จเบตเตอรี่ผ่านพอร์ต USB-C ที่อยู่ที่ตัวหูฟังจนเต็มแล้วอีกวันมาใช้ต่อ ค่อนข้างมั่นใจได้เลยว่าตัวหูฟังจะไม่มีอาการแบตเตอรี่หมดระหว่างวันแน่นอนครับ

สรุปส่งท้าย และราคา

โดยสรุปแล้ว Steelseries Arctis Nova 7 Dragon Edition เป็นหูฟังที่เท่มากครับ แถมยังโดดเด่นแน่นอนด้วย (ดูจากที่ลุงไนท์ใส่อยู่ตลอดก็คงรู้) และโดยเนื้อในของมันเอง ก็ยังเป็นหูฟัง Steelseries ที่อยู่ใกล้ระดับเรือธงแล้วด้วย (ก็นี่มันคือรุ่น Arctis Nova 7 เลยนะ) แถมยังเป็นรุ่นจำนวนจำกัด และคาดว่าจะวางจำหน่ายแค่ในปีนี้เท่านั้นด้วย ดังนั้น ใครที่สนใจในหูฟังที่นอกจากจะให้ความสามารถในด้านการเป็นหูฟังเกมมิงที่ดี ใช้งานได้ครบถ้วน แล้วก็ไร้สาย แถมยังได้ความเท่ไม่ซ้ำใครด้วย เพราะตัวหูฟังนี่บ่งบอกความเป็นนักรบมังกร (ที่ไม่ใช่กังฟูแพนด้า) ในตัวได้ด้วย

ส่วนเรื่องของราคาการวางจำหน่ายในประเทศไทย Steelseries จัดจำหน่ายโดย RTB Technology เท่านั้นเลยครับ โดยสามารถซื้อได้วันนี้เลย โดยวางจำหน่ายที่ราคา 8,490 บาท ซึ่งซื้อได้แล้วที่ร้านค้าทั่วประเทศ ทั้ง JIB, ITCity, Kingpower, .Life, Mercular และ Gump ทุกสาขาเลย