รีวิว vivo V30 Pro 5G : กล้องว่าเทพแล้ว ยังพาเทพ ZEISS ตามมาด้วย
Our score
8.3

vivo V30 Pro 5G

19,999 บาท

จุดเด่น

  1. กล้องถ่ายภาพคนได้ดีมาก ๆ และดีมากกว่าเดิมเมื่อมีเลนส์ซูมแยก และโบเก้แบบ ZEISS
  2. กล้องถ่ายภาพใช้ถ่ายภาพทั่วไปได้ดีไม่แพ้ถ่ายคน แถมกล้องหน้าเทพมาก
  3. ไฟ Aura Light Portrait 3.0 ที่สามารถใช้งานได้จริง ๆ ด้วยขนาดที่ใหญ่ขึ้น
  4. ดีไซน์ตัวเครื่องสวยมาก ๆ สัมผัสการจับถือดี และตัวเครื่องค่อนข้างบางมาก ๆ ด้วย
  5. แม้แบตเตอรี่อาจจะไม่อึดมาก แต่สามารถชาร์จแบตเตอรี่กลับได้รวดเร็ว

จุดสังเกต

  1. ลำโพงยังให้เป็นลำโพงเดี่ยว
  2. มอเตอร์สั่นยังเป็นแบบสั่นสู้ ฟีลลิ่งการพิมพ์อาจไม่ดีเท่ามอเตอร์สั่นใหม่ ๆ
  3. พอร์ตเครื่องยังเป็น USB-C 2.0
  4. ดีไซน์โดยรวมไม่ได้แตกต่างจากรุ่น V30 5G มากนัก
  5. ชิปเซตภายในยังไม่อาจเล่นเกมได้ดีมากนัก
  • หน้าจอ

    8.5

  • กล้อง

    9.5

  • แบตเตอรี่

    7.0

  • เสียง

    7.0

  • ประสิทธิภาพ

    8.5

  • ดีไซน์

    9.0

  • ความคุ้มค่า

    8.5

ประเทศไทยเราห่างหายจาก vivo V Series รุ่น Pro มานานครับ ล่าสุดที่ vivo ประเทศไทยได้นำสมาร์ตโฟน vivo V Series รุ่น Pro เข้ามาขายในประเทศไทย ก็รุ่น V25 Pro นู่นเลย แต่อย่างที่เห็นในข่าวเปิดตัวกันครับ ว่า vivo รอบนี้ได้เอา vivo V30 Series เข้ามาวางจำหน่ายในประเทศไทยถึง 2 รุ่น นั่นคือได้พารุ่น Pro มาด้วย ! แล้วรอบนี้เขาไม่ได้กลับมาแค่รุ่นโปร แต่ได้พา ZEISS พาร์ตเนอร์ด้านฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์กล้องของเรือธงใน vivo มาอย่างยาวนาน ตามมาใส่ใน vivo V30 Pro 5G เครื่องนี้ด้วยนะ !

และนี่คือรีวิวฉบับเต็มของสมาร์ตโฟนรุ่นกลางตัวท็อป ที่มาพร้อมกล้อง ZEISS อย่าง vivo V30 Pro 5G เครื่องนี้ !

ในกล่องมีอะไรบ้าง

เปิดกล่องมา vivo V30 Pro 5G จัดของในกล่องมาแน่นมาก ในรูปแบบเดียวกันกับ vivo V30 5G เลย โดยในกล่องจะมี

  • ตัวเครื่อง vivo V30 Pro 5G
  • เคส TPU ป้องกันตัวเครื่อง
  • อะแดปเตอร์ชาร์จแบตเตอรี่ vivo FlashCharge 80W
  • สายชาร์จ USB-A to USB-C
  • ฟิล์มกันรอย (ติดมาให้กับเครื่องแล้ว)
  • เข็มจิ้มถาดซิม คู่มือการใช้งาน และใบรับประกันสินค้า

และเหมือนกับใน vivo V30 5G ครับ ก็คือ หัวปลั๊กชาร์จแบตเตอรี่ของ vivo V30 Pro 5G ก็เป็นหัวกลมมาตรฐานประเทศไทยแล้วเหมือนกัน

สเปกภายในเครื่อง

  • หน้าจอ : AMOLED รีเฟรชเรต 120Hz ความละเอียด 2800 × 1260 (1.5K) ขนาด 6.78 นิ้ว
  • ชิปเซต MediaTek Dimensity 8200 รองรับ 5G + การ์ดจอ Mali G610
  • หน่วยความจำขนาด 512GB UFS 3.1
  • RAM : 12GB LPDDR5X
  • กล้องหลัง 3 ตัว
    • กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.88) เซนเซอร์ Sony IMX920
    • กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/2.0) 119° เซนเซอร์ Samsung ISOCELL JN1
    • กล้องถ่ายภาพซูม แบบ Optical 2 เท่า ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.85) เซนเซอร์ Sony IMX816
  • กล้องหน้าขนาด 50 ล้านพิกเซล (f/2.0) เซนเซอร์ Samsung ISOCELL JN1
  • แบตเตอรี่ 5000 mAh พร้อมชาร์จไว 80W (vivo FlashCharge)
  • ซอฟต์แวร์ Funtoch OS 14 (Based on Android 14)
  • การเชื่อมต่อ : รองรับ 5G ,WiFi 5, WiFi 5.8 Ghz , Bluetooth 5.3, USB-C 2.0
  • ขนาดตัวเครื่อง 164.36 × 75.1 × 7.45 มิลลิเมตร น้ำหนัก 188 กรัม
  • วัสดุรอบตัวเครื่องเป็นพลาสติก ครอบทับด้านหน้าและหลังด้วยกระจก
  • ผ่านมาตรฐานการกันน้ำ และฝุ่น IP54
  • มีสีให้เลือก 2 สี ได้แก่ Shell White, Night Sky Black

ดีไซน์รอบตัวเครื่อง

ดีไซน์ของ vivo V30 Pro 5G เรียกได้ว่าเป็นดีไซน์ที่มาในสไตล์ และรูปแบบเดียวกันกับ vivo V30 5G เลยครับ ซึ่งเป็นการขยับข้ามมาจากดีไซน์ในยุคของ vivo V27 และ V29 อยู่พอสมควรเช่นเดียวกัน และโดยเฉพาะกับการกลับมาของรุ่น Pro นี้ เรียกได้ว่าขยับปรับมาจากดีไซน์ของ vivo V25 Pro 5G อีกไม่น้อยเช่นเดียวกัน

โดยดีไซน์ของ vivo V30 Pro 5G ยังเป็นสมาร์ตโฟนที่ได้แรงบันดาลใจมาจากธรรมชาติเหมือนกันกับในรุ่น V30 5G นะ ซึ่งสีที่วางจำหน่ายในประเทศไทยมี 2 สีด้วยกัน คือสีขาวมุก (Shell White) ซึ่งใช้เทคนิค Photolithography หรือการสร้างลวดลายในขนาดเล็กระดับไมโครเมตร แบบเดียวกับการผลิตเวเฟอร์ชิป CPU เอามาสร้างลายเปลือกหอย 3 มิติ และทำเป็นลายฝาหลังด้าน สวยงามและสัมผัสดีมาก

และสีดำไนท์สกายแบล็ก (Night Sky Black) ที่ฝาหลังใช้กระจก Fluorite AG หรือกระจกขัดด้านแบบที่ vivo ใช้ในสมาร์ตโฟนของแบรนด์มาหลายรุ่นแล้ว ซึ่งสัมผัสการจับถือทำออกมาได้โอเคมาก ๆ เลย ฝาหลังด้านนอกจากจะติดรอยนิ้วมือยากแล้ว ยังทำให้จับถือได้ดีด้วย คือตัวเครื่องทำดีไซน์ออกมาได้บางดูดีทั้ง 2 สีเลย ผู้เขียนเคยบอกความดีงามของสี Shell White ในรีวิวของ vivo V30 5G แล้ว แต่สีดำเองก็สัมผัสดีไม่แพ้กันเลยนะ ออกไปทางคล้าย ๆ X Series ช่วงหนึ่งเลย ทั้ง 2 รุ่นมีคาแรคเตอร์ที่ดีเช่นเดียวกัน

ส่วนรอบ ๆ เครื่องก็ทำออกมาในแนวเดียวกับ vivo V30 5G เช่นกันครับ โดยมีลาย ‘Professional Portrait’ ไว้ด้านบนพร้อมไมค์โครโฟนตัดเสียงรบกวนเหมือนกัน,มีพอร์ต USB-C ช่องใส่ซิม กับช่องลำโพงด้านล่าง เหมือนกัน และที่สำคัญก็คือ เหมือนกันยันความบางของเครื่องเลย โดยหนาที่ 7.45 มิลลิเมตรเท่ากันกับ vivo V30 5G ซึ่งทำให้ทั้ง 2 รุ่นใช้เคสด้วยกันก็ยังได้เลย

ที่น่าเสียดายในด้านดีไซน์และการจับถือก็คือนอกจากดีไซน์จะออกมาคล้าย ๆ กับ vivo V30 5G แล้ว คือการที่มอเตอร์สั่นของ vivo V30 Pro 5G ก็ใช้มอเตอร์สั่นแบบเดิม ไม่ได้เป็นมอเตอร์สั่นในแกน X หรือแกน Y ใด ๆ เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นปัญหาในด้านการใช้งานจริงได้ คือในรุ่นธรรมดายังถือว่าโอเคเนื่องจากเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลาง ราคาหลักหมื่นกลางเท่านั้น แต่ด้วยความที่ vivo V30 Pro 5G นับเป็นสมาร์ตโฟนเรตราคาหลักเกือบ 2 หมื่นแล้ว อาจจะทำให้สัมผัสตัวเครื่องขาดความพรีเมียมไปได้บ้าง และอีกอย่างที่พบก็คือ สมาร์ตโฟนรุ่นนี้มีลำโพงแค่ตัวเดียวบริเวณด้านล่างของเครื่องเท่านั้น ยังไม่ได้ใช้ลำโพงคู่นะ แต่ถ้ามองข้าม 2 เรื่องนี้ได้ถือว่าการจับถือในภาพรวมทำได้โอเคเลย

‘Aura Light Portrait 3.0’ ที่เทพขึ้น

และแน่นอนว่า นี่คือ vivo V30 Series 5G ดังนั้น vivo V30 Pro 5G ก็มาพร้อมกับไฟริงหลังเครื่องในนาม ‘Aura Light Portrait’ ที่เขาใส่มาตั้งแต่ vivo V27 และ V29 เลย ซึ่งอย่างที่เคยบอกไปว่า การใช้ไฟ Aura Light Portrait ก็มีขึ้นเพื่อให้การถ่ายภาพบุคคลทำออกมาได้ดีที่สุดไม่ว่าจะในสภาพแสงไหนก็ตามครับ โดยในรุ่นนี้ก็ได้ขยับขึ้นมาเป็น Aura Light Portrait 3.0 แล้ว ซึ่ง vivo เคลมว่าเป็นออร่าไลท์ที่ใหญ่ขึ้นจากเดิม 19 เท่า และเหมือนกันกับใน vivo V30 5G ครับ ออร่าไลท์ที่เพิ่มขนาดมานี้สามารถนำไปใช้ได้จริงมากกว่าเดิมมากเลยทีเดียว

โดย Aura Light Portrait 3.0 ที่อยู่ใน vivo V30 Pro 5G ยังสามารถเปลี่ยนอุณหภูมิสีของไฟได้ตั้งแต่ 1800 ถึง 4500 เคลวิน จากแสงขาว ไปจนถึงแสงส้มได้เหมือนกัน โดยในแอปฯกล้องถ่ายภาพ ได้มีการแนะนำให้เปิด Aura Light Portrait ตามสถานการณ์ ปรับความเข้มของแสง และสีของแสงได้ตามสถานการณ์อีกด้วย ซึ่งการปรับพวกนี้ ทำให้การถ่ายแบบ ถ่ายออกมาได้ดูดีตามสถานการณ์เลยครับ หรือจะปรับเองก็ได้เหมือนกัน แต่ไฟ Aura Light Portrait ก็ยังติดปัญหาเรื่องการปรับแต่งด้วยซอฟต์แวร์หลังถ่าย ทำให้ตัวแบบดูแปลกไปจากเดิมเล็กน้อยอยู่นะ

แน่นอนครับว่า นอกจาก Aura Light Portrait 3.0 แล้ว โหมดการถ่ายอาหารจาก vivo V30 Pro 5G ก็ยังมีมาอยู่เหมือนเดิม ซึ่งโหมดอาหารนี้จะใช้การทำงานร่วมกันของโหมดถ่ายภาพบุคคล ผสมกับการฉายแสง Aura Light Portrait 3.0 ในการทำให้ภาพออกมาสีดูน่ากินขึ้นกว่าเดิมด้วย ซึ่งถามว่าทำได้ดีไหม เอาจริง ๆ ก็ทำให้ออกมาได้โอเคขึ้นเหมือนกัน แต่การจะถ่ายภาพอาหารแล้วฉายแสง Aura Light Portrait ให้ได้ผล จำเป็นจะต้องอยู่ในสภาพแสงที่ไม่ได้เข้มมากนัก จะทำให้แสงได้ทำหน้าที่มากกว่า แต่ถ้าอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสว่างมาก จะติดปัญหาเรื่องแสงสู้ไม่ไหวเอาได้ครับ ลองดูตัวอย่างภาพกันได้ แต่ที่ดีกว่า V30 5G แบบชัดเจนเลยคือเรื่องการเก็บรายละเอียด เพราะรุ่นนี้มีกล้องซูมมาให้ในตัวแล้วนั่นเอง เดี๋ยวมาว่ากันต่อ

กล้องถ่ายภาพ

แน่นอนว่า vivo V30 Series เป็นสมาร์ตโฟนที่เน้นในเรื่องกล้องมาก ๆ อยู่แล้ว และ vivo V30 Pro 5G เอง ก็จัดกล้องมาแบบเต็มที่ แบบไม่กั๊กอะไรแล้วทั้งสิ้น แค่ดูเซนเซอร์กล้องถ่ายภาพก็รู้แล้วว่าจัดเต็มขนาดไหน โดยประกอบไปด้วย

  • กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.88) เซนเซอร์ Sony IMX920 (ด้านล่างขวา)
  • กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/2.0) 119° เซนเซอร์ Samsung ISOCELL JN1 (ด้านล่างซ้าย)
  • กล้องถ่ายภาพซูม แบบ Optical 2 เท่า ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.85) เซนเซอร์ Sony IMX816 (ด้านบนซ้าย)

ถ้าให้ว่ากันตามตรง vivo V30 Pro 5G ได้ ‘Cut Corners’ หรือตัดสิ่งที่จำเป็นน้อยกว่า ในส่วนนี้ออกไปน้อยมากที่สุด ซึ่งทำให้ว่ากันตรง ๆ แล้ว สมาร์ตโฟนรุ่นนี้ถ่ายภาพได้ดีเกินค่าตัวไปมากเลยทีเดียว ซึ่งเห็นได้จากตัวอย่างภาพเหล่านี้เลยครับ (อย่าลืมกดดูภาพใหญ่ด้วยนะ)

ซึ่งจากการถ่ายภาพทั่วไปแล้ว การ Process ภาพจะยังคงวิธีการทำสีรูปแบบของ vivo อยู่พอสมควรเลยครับ ยังเก็บรายละเอียด จุดมือ จุดสว่างได้ค่อนข้างโอเค แต่ที่ดีมาก และมากกว่าใน V30 5G ก็คือเรื่องของบาลานซ์สีในโหมดภาพถ่ายทั่วไปครับ คือแม้ปกติ vivo จะถ่ายออกมาสีอมโทนฟ้า และ V30 Pro 5G ก็ออกโทนฟ้าเหมือนกัน แต่ความฟ้าของสีก็น้อยลงไป และเข้าใกล้ความสีออกกลาง ๆ กำลังสวยมากขึ้นครับ แถมถ้าอยากให้สีออกเรียล ๆ มากหน่อย ยังมีโหมด ZEISS Natural Color ให้ได้เลือกเปิดด้วย

ที่โทนสีของภาพออกมาในแนวนี้อาจจะเพราะว่าอย่างที่เห็นมาตลอดตั้งแต่เริ่มรีวิว จนเห็นตัวอย่างภาพก็ได้ครับว่า vivo V30 Pro 5G มาพร้อมการร่วมมือ เป็นพาร์ตเนอร์กันกับ ZEISS ด้วย คือ vivo เขาบอกเลยว่ากล้องถ่ายภาพหลักของ V30 Pro 5G นี่คือ ‘ZEISS Triple Main Camera’ คือเป็นกล้องที่ได้รับการช่วยปรับจูนด้านฮาร์ดแวร์ซอฟต์แวร์กับทาง ZEISS ให้ได้ภาพที่ตรงมาตรฐานแบบฉบับของ ZEISS Optics ให้ได้มากที่สุด ซึ่งเป็นการร่วมมือกันกับ ZEISS ครั้งแรกใน vivo V Series เลย ซึ่งตัวอย่างภาพที่เห็นอยู่ จะมีลายน้ำแบบของ vivo x ZEISS ในชื่อ ‘ZEISS Border’ ให้โชว์ตัวตนความเป็นชาวกล้อง ZEISS ไปพร้อมกับระยะเลนส์, f-stop, Shutter Speed, ISO และเวลาถ่าย และแน่นอนว่า นอกจากเรื่องของลายน้ำแบบ ZEISS แล้ว Color Adaptive Border หรือกรอบเปลี่ยนสีตามภาพแบบที่เห็นกันใน vivo V30 5G นะ

ดังนั้นในภาพรวมของการถ่ายภาพทั่วไปแล้ว vivo V30 Pro 5G ยังไว้ใจได้ในการถ่ายภาพทั่วไปอยู่ แถมด้วยการปรับสีแบบ ZEISS ทำให้โปรไฟล์สีของภาพอยู่ที่น่าพอใจเลย ไม่สด และไม่ซีดจนเกินไปนัก

กล้องถ่ายภาพบุคคล

ทีนี้เรามาดูจุดแข็งที่ vivo V Series ทำได้ดีเยี่ยมมาโดยตลอดอย่างการถ่ายภาพบุคคลกันดูครับ คือการถ่ายภาพบุคคลของ vivo V30 Pro 5G เริ่มต้นมาก็ยืนพื้นความ ‘โปร’ ความ ‘เทพ’ ที่มากกว่าในรุ่นธรรมดาด้วยการให้กล้องถ่ายภาพซูม 2 เท่าติดเครื่องมาให้ตั้งแต่แรกแล้วครับ ทำให้การถ่ายภาพบุคคลสามารถถ่ายได้ที่ระยะ 1 เท่า และ 2 เท่าครับ ซึ่งเทรนด์การทำระยะซูมของ vivo โดยเฉพาะที่ได้ร่วมมือกับ ZEISS ในช่วงหลังมานี้ เขาเน้นเรื่องของระยะเลนส์ที่มากขึ้นด้วยนะ อย่างเช่นการถ่ายภาพระยะ 1 เท่า จะอยู่ที่ทางยาวโฟกัส 23mm ในขณะที่ ถ้าเป็นภาพถ่ายบุคคลที่ 2 เท่า จะเป็นการซูมที่ระยะ 50mm แทน ซึ่งเป็นระยะที่ช่างภาพรู้กันดีครับว่าเหมาะกับการถ่ายภาพบุคคล (โดยเฉพาะถ่ายเดี่ยว) มากกว่ามาก

เนิร์ดมาตั้งเต็มย่อหน้าขนาดนี้ เอาเป็นว่าดูตัวอย่างภาพก่อนดีกว่าครับ

คือต้องบอกว่า เท่าที่ได้ถ่ายภาพบุคคลด้วย vivo V30 Pro 5G มา ผู้เขียนเอาไปถามใคร ก็มีแต่คนชอบภาพที่ถ่ายด้วยสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ แม้กระทั่งน้องนักเขียนอีกคนที่ถ่ายภาพบุคคลชุดนี้ที่เพิ่งเห็นกันไปด้วย คือถ้าแสงรับเข้ากับใบหน้าที่พอเหมาะ จะทำให้ภาพออกมาดูสวยงาม เก็บแสง สี สกินโทน เก็บเงาในภาพ รวมไปถึงเก็บการเบลอฉากหลังออกมาได้อย่างสวยงามมาก ๆ ครับ ให้บอกว่าการถ่ายภาพบุคคลเป็นจุดแข็งที่สุดของ vivo V30 Pro 5G เครื่องนี้ก็คงไม่ผิดนัก ความเจ๋งมาก ๆ ของการถ่ายภาพบุคคลของสมาร์ตโฟนเครื่องนี้ก็คือ แม้ภาพจะออกมาดูโปรมาก แต่เราแทบไม่ได้ปรับการตั้งค่าอะไรมากนักเลยครับ คือไม่ว่าใครก็สามารถถ่ายออกมาอย่างเทพได้เลย ขอเพียงรู้พื้นฐานในการถ่ายภาพบุคคลที่ดี

โบเก้ในแบบฉบับของ ‘ZEISS’

และด้วยความร่วมมือกับ ZEISS เอง vivo V30 Pro 5G ก็มี ‘โบเก้สไตล์ ZEISS’ ให้การถ่ายภาพบุคคลออกมาดูดีขึ้นได้ด้วยเช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นการจำลองโบเก้ที่จะเกิดจากการถ่ายภาพบุคคลผ่านเลนส์สไตล์เฉพาะของ ZEISS ประกอบไปด้วยเลนส์ Biotar (ออกเป็นโบเก้ใบไม้วนเป็นวงกลม) Sonnar (โบเก้ออกกลม ๆ ใหญ่ ๆ) Planar (โบเก้ออกเป็นใบไม้ที่เบลอกว่าปกติ) และ Distagon (โบเก้ออกมาเป็นรูปร่างคล้าย 6 เหลี่ยม) และยังมีโหมดโบเก้ Cine-Flare (จำลองแสงแฟลร์แดดลงบนภาพ) และ Cinematic ที่จะถ่ายภาพบุคคลหน้าชัดหลังเบลอด้วยอัตราส่วนภาพแบบภาพยนตร์ที่ 2.39:1 ให้ฟีลเหมือนเป็นซีนหนึ่งในภาพยนตร์ก็ได้เหมือนกัน ซึ่งแต่ละสไตล์ของเลนส์สามารถเลือกได้ตามความถนัด สถานการณ์และมุมกล้องที่จะถ่ายได้เลย

ปกติฟีเจอร์นี้จะอยู่กับ vivo X Series เท่านั้นด้วย แต่ตอนนี้ฟีเจอร์โบเก้สวย ๆ นี้ได้ตามมาให้เล่นใน vivo V30 Pro 5G เครื่องนี้แล้วด้วยเช่นกัน เรียกง่าย ๆ ว่าสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ เป็นสมาร์ตโฟนที่ทำให้เราได้ใช้ฟีเจอร์แบบเรือธงกล้อง ZEISS ในราคาเบา ๆ เลยด้วย

กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก และการซูม

ด้านการถ่ายภาพมุมกว้างมาก ด้วยเซนเซอร์กล้องถ่ายภาพตัวเดียวกันกับใน vivo V30 5G ที่เซนเซอร์ Samsung ISOCELL JN1 ทำให้โปรโฟล์สีของภาพมุมกว้างมากจะไม่แตกต่างกันมากนัก กล่าวคือยังเก็บสี เก็บรายละเอียดได้ดี แม้จะเก็บการบิดของภาพจากเลนส์ที่กว้างได้ไม่ดีมากนัก แต่การเก็บความต่อเนื่องของภาพทำได้โอเคเลยทีเดียว ลองดูภาพเปรียบเทียบกันดู

ทีนี้ในการถ่ายภาพซูม ก็เป็นอีกจุดเด่นที่ได้จากการที่ vivo V30 Pro 5G มีกล้องถ่ายภาพซูมมาช่วยในการครอปภาพ และประมวลผลภาพถ่ายซูมแยกมาด้วย แต่ vivo V30 Pro 5G ยังสามารถถ่ายภาพซูมได้สูงสุดที่ 20 เท่า หรือ 500mm เหมือนกับในรุ่นน้อง V30 5G แต่ว่าด้วยการประมวลผลรวมกับเลนส์ซูมที่เพิ่มเข้ามา ทำให้ระยะหวังผลการซูมดีขึ้นมากเลย ถ้าสภาพแสงดี ๆ ระยะ 20 เท่าก็ยังสามารถเก็บรายละเอียดของภาพได้โอเคอยู่เหมือนกันนะ แปลว่าไม่ว่าจะซูมเท่าไหร่ ก็ยังทำได้โอเคเลยล่ะ (ในภาพด้านล่างคือภาพที่ระยะ 0.6 เท่า, 1 เท่า, 2 เท่า, 4 เท่า, 10 เท่า และ 20 เท่าตามลำดับ)

ภาพถ่ายกลางคืน

ทีนี้เรามาดูภาพถ่ายกลางคืนกันบ้าง ส่วนนี้เป็นส่วนที่ไม่ได้แตกต่างจาก vivo V30 5G มากนักครับ ก็คือสามารถถ่ายได้ทั้งในโหมดกล้องถ่ายภาพธรรมดาและโหมดกลางคืนเหมือนเดิม และด้วยความที่ตัวกล้องถ่ายภาพเลนส์หลักมี vivo Camera-Bionic Spectrum (VCS) ที่จะทำให้การถ่ายภาพกลางคืนออกมาได้สวยงามขึ้นได้ด้วย ซึ่งผลจากการถ่ายภาพมาก็คือ ตัวภาพทั้ง 2 โหมดได้สไตล์ของสีท้องฟ้าและการเก็บรายละเอียดที่ต่างกัน รวมถึงเวลาในการกดชัตเตอร์และรับข้อมูลแสงก็นานกว่าด้วยเช่นกัน ซึ่งจุดนี้อยู่ที่สไตล์ของแต่ละคนแล้วว่าชอบแบบไหนมากกว่ากัน ลองดูตัวอย่างภาพเทียบกันดูได้

เซลฟี

ขึ้นชื่อว่าเป็น vivo V Series ทั้งที เรื่องของกล้องหน้าก็ต้องเด็ดด้วยเช่นกัน ด้วยกล้องหน้าความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/2.0) เซนเซอร์ Samsung ISOCELL JN1 เหมือนกับกล้องมุมกว้างมาก ทำให้แม้กระทั่งกล้องหน้าเอง vivo ก็ไม่ตัดส่วนนี้ออกไปแต่อย่างใด ซึ่งคุณภาพของภาพถ่ายเลยออกมาดีตามที่เห็นในภาพด้านล่างเลย คือทำสี เก็บรายละเอียดต่าง ๆ ได้ออกมาดีเลย รวมไปถึงกล้องหน้ายังถ่าย Autofocus และถ่ายเป็นมุมกว้างมากได้ด้วยเช่นเดียวกัน

โดยรวมแล้ว อยากให้มองว่า vivo V30 Pro 5G เป็นเหมือนร่างภาคต่อของ vivo V30 5G ที่ถ่ายภาพคนให้เทพยิ่งกว่าเดิม แต่ก็ยังสามารถถ่ายภาพให้ได้โปรไฟล์ของภาพที่ดีในแบบฉบับของ vivo V Series ได้ดีอยู่เหมือนเดิมเลย ดังนั้นถ้าใครสนใจในการถ่ายภาพเป็นหลัก vivo V30 Pro 5G ถือว่า ‘ไปสุด’ และ ‘ทำถึง’ มาก ๆ แน่นอน

วิดีโอ

ด้านการถ่ายวิดีโอของ vivo V30 Pro 5G ก็ให้ความละเอียดสูงสุดเกินกว่ารุ่นน้องเหมือนกัน โดยให้ความละเอียดสูงสุดที่ 4K 60FPS ทั้งกล้องหน้าและกล้องหลังเลย แต่จะเสียคุณภาพในการกันสั่นออกไปทั้งหมด ถ้าจะให้มีการกันสั่นในวิดีโอ จำเป็นจะต้องถ่ายที่ 4K 30FPS อยู่นะ แต่ลองดูคุณภาพของภาพที่ความละเอียด 4K 60FPS ของวิดีโอกล้องหลังและกล้องหน้ากันดูนะ

ส่วนนี่คือภาพของวิดีโอกล้องหลังที่ 4K 30FPS

และนี่คือวิดีโอกล้องหน้าที่ 4K 60FPS

ซึ่งคุณภาพของภาพ สี รายละเอียด ไปจนถึงเสียงถือว่าทำได้ไม่แย่เลยนะ มีความต่อเนื่องกันของสีระหว่างวิดีโอและภาพถ่ายค่อนข้างดีเลย ที่จะเป็นข้อสังเกตหน่อยคือเรื่องของการกันสั่นในวิดีโอที่อาจจะไม่ดีเท่าการถ่ายในโหมด 30FPS เท่านั้นเอง

หน้าจอ

หน้าจอของ vivo V30 Pro 5G เป็นหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2800 × 1260 (1.5K) ที่รีเฟรชเรต 120Hz ปรับความสว่างเฉพาะจุดได้สูงสุด 2800nits ที่ทำให้มีการเร่ง HDR เฉพาะจุดในภาพที่เราถ่ายมา หลังจากถ่ายแล้วด้วย ซึ่งว่ากันตรง ๆ ก็คือสเปกเดียวกันกับใน vivo V30 5G เป๊ะ ๆ เลยนั่นแหละ

แต่เห็นสเปกเหมือนแบบนี้ แต่ตอนใช้งานจริงก็ต่างอยู่พอสมควรเลยล่ะครับ อย่างเช่นความละเอียดที่ 2800 × 1260 ก็ตั้งค่ามาให้เลย ไม่ต้องไปเปิดก่อน รวมไปถึงสีของภาพหน้าจอ ก็ให้ความรู้สึกด้านสีที่ต่างกันด้วยนะ (แม้จะตั้งค่าเหมือนกันแล้วก็ตาม) ซึ่งหน้าจอก็ทำออกมาได้ละเอียด ทัชติดมือและดูสวยงามดีนะ ยังดูคอนเทนต์ 4K HDR ได้เหมือนกันด้วย

นอกจากนั้นยังมีเซนเซอร์สแกนนิ้วแบบแสงใต้หน้าจอ ตำแหน่งของเซนเซอร์อยู่จุดล่าง ๆ แบบเดียวกับใน vivo V30 5G ครับ ถ้าถนัดตำแหน่งนี้ก็จะปรับตัวได้ไม่ยากมากมายนัก

สเปกภายในเครื่อง ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม

อ่านมาจนถึงตรงนี้แล้ว ก็เห็นแต่ของที่ทำออกมาได้ดีมาก ๆ มาโดยตลอด แต่มันจะต้องมีบางอย่างที่ vivo ได้ ‘Cut Corners’ ออกไปบ้างแน่ ๆ และเรื่องของสเปกภายในเครื่อง ดูจะเป็นสิ่งที่โดนดึงออกไปค่อนข้างมากที่สุด เพราะ vivo V30 Pro 5G ใช้ชิปเซตเป็น MediaTek Dimensity 8200 ซึ่งเป็นชิปเซตระดับกลางค่อนสูงที่เอาจริง ๆ ในด้านการใช้งานเพื่อประมวลผลภาพถ่าย และการทำงานทั่ว ๆ ไป ไม่มีปัญหาเท่าไหร่ครับ แต่ด้วยความที่ชิปเซตเป็นชิปที่อายุนานกว่า 2 ปีแล้ว อาจจะทำให้ประสิทธิภาพของชิปเวลาทำงานหนัก ๆ เช่นการเล่นเกมดรอปลงไปได้ เดี๋ยวเรามาลองทดสอบประสิทธิภาพ และทดสอบกันดู

ถ้าเราทดสอบประสิทธิภาพ CPU ด้วย Geekbench 6.2 ก็จะเห็นได้ว่าคะแนน Multi Core จะอยู่ที่ 3,454 คะแนน และ Single Core ที่ 1,216 คะแนน ซึ่งเอาจริง ๆ เป็นคะแนนที่เริ่มจะน้อยแล้วสำหรับสมาร์ตโฟนในเรตราคานี้ รวมไปถึงการทดสอบการ์ดจอด้วย 3DMark Wildlife Stress Test เองก็เห็นผลลัพธ์ชัดเจนเลยว่า ตัวเครื่องเกิดความร้อนค่อนข้างสูงเมื่อทดสอบเป็นเวลานาน แต่คะแนนสูงสุดที่ 6,660 ก็ห่างจากคะแนนต่ำสุดที่ 6,565 อยู่ไม่มากนักนะ ความนิ่งของคะแนนอยู่ที่ 98.6% แต่อุณหภูมิของเครื่องขึ้นสูงถึง 43 องศา และร้อนเวลาสัมผัสด้วย จากกราฟจะเห็นว่าเฟรมเรตมีการดรอปเฟรมเป็นบางช่วง นาน ๆ ครั้ง แต่ไม่ได้ส่งผลต่อคะแนนโดยรวมนักครับ

ซึ่งคะแนนระดับนี้ ถามว่าสูงไหม เรียกว่าก็ไม่น้อยครับ เราโยนงานอะไรให้มันทำก็คงจะไม่ลำบากอะไรมากนัก ส่วนถ้าเราเอามาเล่นเกมล่ะ ผู้เขียนได้ทดสอบกับ RoV และ Genshin Imapct ไป สำหรับ RoV นี่เรียกได้ว่าเล่นลื่น ปรับสุดได้ทุกอย่าง และยังคงลื่นอยู่แม้จะเล่นเป็นเวลานาน และต่อ 5G ด้วยก็ตาม เฟรมเรตก็ไม่ได้ตกจาก 60 ไปเลยครับ เล่นได้สบาย

ส่วนถ้าเอาไปเล่น Genshin Impact ที่ปรับสุด ตั้งค่า 60FPS ไว้ ก็ยังเล่นได้นะ แต่เครื่องก็เกิดความร้อนพอสมควรเช่นเดียวกัน โดยเฟรมเรตจะอยู่ที่ประมาณ 40-50 เฟรม ถ้ากะด้วยสายตา แต่จะเกิดอาการเฟรมดรอปอยู่พอสมควรเมื่อเล่นผ่าน 5G โดยจะดรอปตอนโหลดฉากเสร็จ กดสกิลเอฟเฟ็กต์เยอะ ๆ เป็นต้น

โดยภาพรวมแล้ว แม้จะเป็นชิปที่เก่า แต่ประสิทธิภาพระดับนี้ ยังถือว่าสามารถซื้อมาและใช้ได้นานหลักปีได้ไม่ยากเย็นนักครับ เพียงแต่ว่า ถ้าให้พูดกันตรง ๆ คือสมาร์ตโฟนในเรตราคานี้บางรุ่น ก็อาจจะใช้ชิปที่มีประสิทธิภาพมากกว่านี้ได้เช่นกัน เพียงแต่ว่ากล้องถ่ายรูปของรุ่นเหล่านั้นก็อาจจะดีสู้ vivo V30 Pro เครื่องนี้ได้ยากเช่นเดียวกัน

แบตเตอรี่

แต่อีกจุกหนึ่งที่อยากจะให้เป็นข้อสังเกตไว้ เห็นจะเป็นเรื่องของแบตเตอรี่ครับ คือปฏิเสธไม่ได้เลยว่าชิปเซต MediaTek ในช่วงนั้น มักจะเจอปัญหาด้านความร้อนและแบตเตอรี่อยู่บ้าง โดย vivo V30 Pro 5G ให้ขนาดแบตเตอรี่มาที่ 5,000 มิลลิแอมป์ (Li-ion) ครับ เป็นตัวเลขที่ถือว่าสูงมากถ้าเทียบกับขนาดตัวที่บางได้ขนาดนี้ ซึ่งอย่างที่เคยบอกไปว่า เลขแบตเตอรี่ไม่สำคัญเท่ากับการจัดการพลังงานในตัวชิปเลยครับ ดังนั้นเราเอาแบตเตอรี่นี้มาทดสอบกัน

โดยการใช้งานทั่ว ๆ ไป โดยไม่ได้จับเวลามากนัก ถ้าเกิดว่าเราใช้งานทั่ว ๆ ไป เรียกได้ว่าสามารถจบวันได้แบบลุ้น ๆ ครับ คือบางวันแบตเตอรี่ก็หมดได้เลย หรือบางวันก็แบตเตอรี่เหลืออยู่พอสมควร ขึ้นกับการใช้งานและ Screen On Time ของเราเลยครับ ซึ่งถ้า Screen On Time ไม่เกิน 4 ชั่วโมงคิดว่าสามารถกลับบ้านแบบแบตเตอรี่เต็มได้สบาย ๆ ครับ แต่ถ้ามากกว่านั้นอาจจะต้องลุ้นหน่อยครับ ทีนี้ถ้าเราเอาไปเล่นเกมแบบปรับสุด เปิด 5G ไปด้วยแบบที่เราได้ทดสอบการเล่นเกมไว้ ถ้าเล่น RoV ไป 2 ตา แบตเตอรี่ลดไป 10% และถ้าเล่น Genshin Impact ปรับสุดไป 20 นาที แบตเตอรี่ลดไป 11% และเกิดความร้อนด้วย

ซึ่งจริง ๆ ตัวเครื่องยังสามารถตั้งค่าให้ประหยัดแบตเตอรี่ได้มากกว่านี้ด้วยโหมด Battery Super Saver ได้ด้วยนะ ถ้าอยากให้ใช้งานได้ยาวนานแบบไม่มีปัญหา ลองเปิดโหมดนี้ก็สามารถช่วยได้เช่นกัน ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่กลับ vivo ก็ได้ให้สเปกมาจัดเต็มเหมือนกันด้วยหัวชาร์จแบตเตอรี่ 80W vivo FlashCharge ที่เหมือนกับในรุ่นน้อง V30 5G เลย ซึ่งลองจับเวลาเล่น ๆ ดูแล้ว ก็สามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ในเวลาใกล้ ๆ กันด้วย โดยจากการจับเวลาชาร์จครึ่งชั่วโมง สามารถชาร์จจาก 5% ถึง 75% ได้เลย ทั้งนี้ แนะนำว่าถ้าอยากชาร์จให้ได้เร็ว ๆ อย่าลืมไปตั้งค่าเปิดการชาร์จแบตเตอรี่แบบเร็วมาก ผ่านโหมดชาร์จเร็วมากก่อนด้วย เพื่อให้ชาร์จได้เร็วที่สุดนะ

สรุปส่งท้าย

ถ้าให้ว่ากันตรง ๆ vivo V30 Pro 5G คือสมาร์ตโฟนที่เอียงข้างเข้าไปหาทางกล้องถ่ายภาพแบบเต็มสตรีมเลยครับ ไม่ว่าจะเรื่องการถ่ายภาพทั่วไป การถ่ายภาพกลางคืน และที่สำคัญสุด ๆ คือการถ่ายภาพคนครับ เขาทำสุด และทำถึงมากจริง ๆ คือไม่ว่าจะถ่ายภาพคนในเวลากลางวัน กลางคืน เซลฟี หรือถ่ายคนแบบที่ใช้เอฟเฟ็กต์การเบลอฉากหลังแบบเลนส์กล้อง ZEISS เรียกว่าทำได้สวยงาม และไม่ผิดหวังแน่นอนจริง ๆ ครับ เรื่องอื่นอาจจะต้องขึ้นอยู่กับความสนใจของแต่ละคน แต่ถ้ามองว่า มีงบประมาณ 20,000 บาท ไม่เกินไปกว่านี้ และอยากได้สมาร์ตโฟนที่ถ่ายรูปดีที่สุดในวันนี้ (6 มีนาคม 2024) บอกได้เลยว่า vivo V30 Pro 5G เป็นทางเลือกที่ดีของคุณแน่นอน (ยิ่งติดโปรเครือข่ายมือถือยิ่งคุ้มไปอีกนะ) ส่วนเรื่องอื่น ๆ ที่เคยให้ไว้เป็นข้อสังเกต ถึงสิ่งที่ยอมเสียไป เอาจริง ๆ ก็มีน้ำหนักมากกว่าเดิมอยู่บ้าง แต่ถ้ายอมสละเรื่องเหล่านี้ไป คุณจะได้สมาร์ตโฟนถ่ายรูปสวยมากอีกรุ่นไว้ใช้แน่นอนครับ

ราคาค่าตัวของ vivo V30 Pro 5G ความจุ 12/512GB จะวางจำหน่ายในสี Shell White และ Night Sky Black เท่านั้น โดยวางจำหน่ายที่ราคา 19,999 บาท โดยใครที่สั่งซื้อ vivo V30 Pro 5G จะได้รับของแถมเป็น ส่วนลดทันที 500.-, หูฟัง vivo TWS 3e (มูลค่า 1,799.-) และ Premium Gift Box (มูลค่า 10,499.- ภายในกล่องเคส 2 ชิ้น และ E-VIP Card สิทธิพิเศษรับประกันตัวเครื่องเป็น 2 ปี และรับประกันหน้าจอแตก 1 ครั้ง ภายใน 2 ปีแรก) ฟรีไปด้วยเลย ใครที่สนใจสามารถตามไปซื้อได้ที่ vivo Official Shop ของ Shopee และ Lazada, เครือข่ายมือถือทุกเจ้า และตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศได้เลย !