Our score
8.1

OPPO Reno11 5G

14,990 บาท

จุดเด่น

  1. เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นเดียวในเรตราาคานี้ ที่ให้กล้องถ่ายภาพซูม 2 เท่ามาด้วย
  2. สามารถถ่ายภาพได้สีที่เป็นธรรมชาติ ทั้งภาพวิวและภาพบุคคล สกินโทนสวยงามมาก
  3. ชิปเซตค่อนข้างร้อนน้อยเมื่อนำไปใช้งานทั่ว ๆ ไป
  4. ซอฟต์แวร์ภายในเครื่องใช้งานได้ดีมาก ๆ ไม่มีบัค ไม่หน่วง ไม่หนักเครื่อง แม้จะมีโฆษณาในเครื่องก็ตาม
  5. ให้ลำโพงคู่มาด้วย !

จุดสังเกต

  1. ชิปเซตถือว่าช้าเมื่อเทียบกับรุ่นอื่น
  2. ถ้าเล่นเกมหนัก ๆ ตัวเครื่องจะเกิดความร้อนสะสมค่อนข้างมาก
  3. มอเตอร์สั่นยังเป็นมอเตอร์แบบเดิม ไม่ใช่ Linear ฟีลลิ่งการพิมพ์อาจไม่ดีเท่า
  4. พอร์ตที่ให้มายังเป็นพอร์ต USB-C 2.0 อยู่
  5. หน้าจอเป็นจอโค้ง ซึ่งทำให้หาฟิล์มติดได้ยากกว่าจอแบบแบน
  • หน้าจอ

    8.0

  • กล้อง

    8.0

  • แบตเตอรี่

    8.5

  • เสียง

    8.5

  • ประสิทธิภาพ

    7.5

  • ดีไซน์

    8.5

  • ความคุ้มค่า

    8.0

ทุก ๆ ปี OPPO จะเปิดตัว OPPO Reno Series ปีละ 2 รุ่นครับ ซึ่งต้นปีนี้ OPPO ได้เปิดตัว OPPO Reno11 Series ออกมา 3 รุ่นด้วยกัน คือ Reno11, Reno11 Pro และ Reno11 F และนี่คือรีวิวฉบับเต็มของ OPPO Reno11 5G สมาร์ตโฟนที่อยู่ตรงกลางเป๊ะ ๆ ของ OPPO Reno11 Series ที่เปิดตัวในรอบต้นปีนี้ !

สเปกภายในเครื่อง

  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz แบบโค้ง ความละเอียด 2412 × 1080 (FHD+) สว่างสูงสุด 800 Nits (HBM)
  • ชิปเซต MediaTek Dimensity 7050 รองรับ 5G
  • หน่วยความจำขนาด 256GB UFS 2.2
  • RAM : 12GB LPDDR4X
  • กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบไปด้วย
    • กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8) เซนเซอร์ Sony LYTIA LYT600
    • กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f/2.2) 112 องศา เซนเซอร์ Sony IMX355
    • กล้องเทเลโฟโต้/Portrait ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล (f/2.0) เซนเซอร์ Sony IMX709
  • กล้องหน้าขนาด 32 ล้านพิกเซล (f/2.4)
  • แบตเตอรี่ 5000 mAh พร้อมชาร์จไว 67W SUPERVOOC
  • ซอฟต์แวร์ ColorOS 14 (Based on Android 14)
  • การเชื่อมต่อ : รองรับ 5G ,WIFI 6 , Bluetooth 5.3, USB-C 2.0
  • น้ำหนัก 182 กรัม
  • มีสีให้เลือก 2 สี ได้แก่สีเขียวคลื่นทะเล Wave Green และสีเทาดำ Rock Grey

ดีไซน์

OPPO Reno11 5G ได้มีการปรับเปลี่ยนดีไซน์รอบตัวเครื่องมาใหม่ครับ คือเขาได้เปลี่ยนไปใช้ดีไซน์รอบตัวเครื่องที่ ‘ได้แรงบันดาลใจจากธรรมชาติ’ แทนที่จะเป็นแบบเมทัลลิกในรุ่นที่แล้ว และเปลี่ยนมาใช้การออกแบบดีไซน์สี (ที่นอกจากสีเทา) มาเป็นสีที่มาจากน้ำทะเลแทน อย่างเช่นสี Wave Green (เขียวคลื่นทะเล) ที่ได้มารีวิวนี้ เขาบอกว่าเป็นคลื่นทะเลใต้แสงแดดเลยทีเดียว ซึ่งออกมาเป็นลายริ้ว ๆ บนฝาหลังกระจกแบบใสนั่นเอง ซึ่งแม้จะเป็นกระจกใส แต่รอยนิ้วมือก็ไม่ค่อยติดนะ ถือว่าโอเคเลย ส่วนสีเทา ‘Rock Gray’ ออกมาเป็นสีเทาเข้ม ๆ ด้าน ๆ หน่อย OPPO บอกว่าให้ความรู้สึกเหมือนแสงแดดกระทบหินที่มีน้ำทะเลสาดใส่าอยู่อะไรอย่างนั้นเลย เอาจริง ๆ ก็เท่ไปอีกแบบ แต่ส่วนตัวผู้เขียนจะชอบสีเขียวนี้มากกว่านะ

อีกส่วนที่ผ่านการดีไซน์มาละเอียดเหมือนกัน ก็คือดีไซน์ของกรอบของกล้องที่เขาใช้ดีไซน์เป็น แคปซูล ‘Sunshine Ring’ ฟีลลิงคล้าย ๆ พระอาทิตย์สาดส่องมาอะไรทำนองนั้น ออกมาเป็น 2 วงด้านบนซ้ายนั่นเอง

ส่วนการจับถือของ OPPO Reno11 5G โดยรวมถือว่าทำออกมาได้ดีเลยนะ จับถือได้มั่นคงค่อนข้างมาก และดูดี รู้สึกพรีเมียมไปด้วย ซึ่งป็นข้อดีมาจากดีไซน์ของฝาหลังที่ทำแบบลงโค้งมา ล้อไปกับหน้าจอของเครื่องที่ทำมาโค้งเหมือนกันนี่แหละ ซึ่งจริง ๆ ก็สามารถใส่เคสที่แถมมาให้ในกล่องเลยได้ด้วย แต่น่าเสียดายนิดหน่อยที่เคสเป็นแบบสีด้าน บางคนอาจจะชอบ แต่ผู้เขียนรู้สึกว่ามันบดบังความสวยงามของสีฝาหลังไปสักเล็กน้อยเท่านั้นเอง

ส่วนรอบ ๆ ตัวเครื่องก็เหมือนสมาร์ตโฟนระดับกลางทั่วไปครับ คือจะมีรูลำโพง, ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และ IR Blaster อยู่ด้านบน, ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง และปุ่นเปิด-ปิดด้านข้างขวา และด้านล่างมีไมโครโฟน, พอร์ต USB-C 2.0, ช่องใส่ซิม (2 ซิม หรือ 1 ซิม + เพิ่ม MicroSD Card ได้) และช่องสำหรับลำโพง แต่ด้านข้างซ้ายปล่อยโล่งเลย

ด้านฟีเจอร์อื่น ๆ คือตัวเครื่องให้ลำโพงคู่มาด้วย ! คือปกติสมาร์ตโฟนเรตราคานี้มักจะให้ลำโพงมาตัวเดียว แต่ OPPO Reno11 5G ให้มาเป็นลำโพงคู่ด้านบนและล่างของตัวเครื่องนั่นเอง ข้อดีคือเวลาเสพคอนเทนต์ เสียงที่ออกทางลำโพงจะบาลานซ์กันได้โอเคกว่านั่นเอง แต่ที่น่าเสียดายคือตัวเครื่องใช้มอเตอร์สั่นแบบเดิม ซึ่งแม้ว่าจะพยายนามเนียนการสั่นเวลาพิมพ์ให้ดีเหมือนกับมอเตอร์สั่นแบบ Linear อื่น ๆ แต่ความรู้สึกก็ไม่เหมือนกันอยู่ดี ซึ่งตรงนี้อาจจะทำให้ประสบการณ์การใช้งานแตกต่างไปได้ครับ แต่โดยรวมการจับถือก็ทั่ว ๆ ไปตามสมาร์ตโฟนเรตราคานี้ของปีนี้เลย

กล้องถ่ายภาพ

ด้วยความที่ OPPO Reno11 Series 5G ทั้งซีรีส์บอกว่านี่คือสมาร์ตโฟนที่ ‘ถ่ายคนอย่างโปร’ ดังนั้นกล้องถ่ายภาพของรุ่นนี้เลยจะต้องเป็นจุดที่เน้นมากที่สุด ซึ่ง OPPO Reno11 5G ก็จัดชุดเลนส์มามากกว่าคนอื่นและครบกว่าคนอื่นในเรตราคาเดียวกันครับ โดยประกอบไปด้วยกล้องถ่ายภาพหลักที่ขยับไปใช้เซนเซอร์ตระกูลใหม่ของ Sony เป็น ‘Sony LYTIA LYT600’ ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล แถมยังมีเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล และยังมีกล้องถ่ายภาพบุคคลและซูม 2 เท่า ความละเอียด 32 ล้านพิกเซลให้มาอีก ! คือให้มาครบพอ ๆ กับระดับเรือธงเลยนั่นแหละ

ซึ่งอย่างที่เคยบอกมาตลอดครับว่า กล้องถ่ายภาพจะดีได้ไม่ได้อยู่ที่เซนเซอร์ของกล้องถ่ายภาพเท่านั้น แต่ต้องมีการประมวลผลการถ่ายภาพหลังบ้านอีกด้วย ถ้าการประมวลผลดี ก็เป็นเหมือนการขับคุณภาพของภาพจากเซนเซอร์กล้องถ่ายภาพได้ดีไปด้วยนั่นเอง

เอาล่ะ ทีนี้เรามาดูตัวอย่างภาพถ่ายทั่ว ๆ ไป จาก OPPO Reno11 5G เครื่องนี้กันก่อนดีกว่า (อย่าลืมกดดูภาพใหญ่ และเลื่อนดูภาพต่อ ๆ ไปด้วยนะ)

คือรูปถ่ายทั่วไปของ OPPO Reno11 5G มีการ Process ของภาพที่จัดได้ว่าค่อนข้างน้อยครับ ข้อดีก็คือ การประมวลผลของภาพหลังถ่ายที่น้อย จะทำให้ภาพถ่ายออกมามีสีที่ไม่ได้แตกต่างจากภาพตรงหน้ามากนักครับ คือถ้าอยากได้ภาพถ่ายที่ออกมาดูเรียล ๆ รุ่นนี้จัดให้ได้เลยครับ แต่ถ้าอยากได้สีที่ดูสดขึ้นจริง ๆ ก็สามารถเลือกฟิลเตอร์สี Vivid ก็ได้เช่นกัน แต่ในตัวอย่างภาพทั้งหมดจะใช้แค่โหมด Original ที่ติดเครื่องมานะ

ซึ่งการเก็บรายละเอียดของภาพโดยภาพรวมถือว่าทำออกมาได้ไม่แย่นักนะ ในสภาพแสงที่ดี อาจจะมีหลุด ๆ ไปบ้างในสภาพแสงที่น้อยลง หรือย้อนแสงหนัก ๆ หน่อย แต่ถ้าอยู่สภาพแสงที่ดีพอ ก็สามารถถ่ายภาพออกมาหวังผล หรือเอาไปแต่งต่อได้ไม่ลำบากมากนักนะ

ซึ่งในรุ่น OPPO Reno 11 Series นี่ก็สามารถเปิดลายน้ำของภาพแบบกรอบ คือมีรายละเอียดของภาพอย่างละเอียดให้ได้ดู เช่นระยะของเลนส์ F-Stop ความเร็วชัตเตอร์ และ ISO ให้ได้ดูด้วยนะ คือนอกจากจะแสดงตัวตนแล้ว ยังโชว์ความเป็นโปรได้อีกด้วย

กล้องถ่ายภาพบุคคล

ทีนี้ที่ OPPO บอกว่าโปรที่สุดในเรื่องนี้คือการถ่ายภาพคนครับ ซึ่งข้อดีของรุ่นนี้คือการเป็นสมาร์ตโฟนที่มีกล้องถ่ายภาพซูมเพื่อใช้ถ่ายภาพคนโดยเฉพาะด้วย ทำให้การถ่ายภาพบุคคลสามารถถ่ายได้ที่ระยะ 1 เท่าและ 2 เท่าเลย ซึ่งระยะของ 2X จะทำให้สามารถถ่ายภาพบุคคลที่มุมมองและระยะของเลนส์ที่ดีกว่า รวมถึงได้ใช้ความสามารถของเลนส์ซูม 2 เท่าในการถ่ายภาพบุคคลด้วยนะ เดี๋ยวมาลองดูตัวอย่างภาพถ่ายกัน

ซึ่งการถ่ายภาพบุคคลถามว่าถ่ายได้อย่างโปรเลยไหม บางสถานการณ์ก็สามารถถ่ายออกมาได้โอเคเลย แต่บางสถานการณ์ภาพก็ออกมาแปลก ๆ นิดหน่อยเหมือนกัน เช่นแสงเว่อเกินไป หรือภาพออกมืดไปบ้าง แนะนำให้ดูการตั้งค่าการถ่ายก่อนจะถ่าย จะทำให้ได้ภาพที่ออกมาโอเคขึ้นได้ ซึ่งถ้าคุมเรื่องของแสงดี ๆ แล้ว สกินโทนของภาพบุคคลก็ไม่ได้แย่เลยนะ คือไม่เน้นการแต่งสีต่าง ๆ มากนัก ทำให้สกินโทนของภาพออกมาใกล้เคียงกับคนจริง ๆ โดยมีการปรับแต่งมาเพิ่มอีกเล็กน้อย ส่วนการตัดขอบของเส้นผม และการเบลอฉากหลังก็ไม่ได้แย่ แม้จะยังมีเส้นผมที่หลุด ๆ ไปบ้างถ้าเกิดว่าออกมาเป็นเส้นแยกออกมาแล้ว แต่ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อการถ่ายภาพบุคคลมากนัก

ข้อดีของการปรับแต่งภาพแบบนี้คือทำให้ภาพออกมาคล้าย ๆ กับกล้องใหญ่ ๆ แบบที่ไม่ต้องปรุงแต่งภาพมากนัก แปลว่าจะนำไปลงเลยแบบไม่ต้องแต่ง หรือนำไปแต่งต่อก็ได้เลย นอกจากนั้น OPPO Reno11 เขามีระบบที่ชื่อ ‘Portrait Expert Engine’ เป็นระบบประมวลผลการถ่ายภาพบุคคลของ OPPO ที่ปรับค่ารูรับแสงและค่าสมดุลแสงสีขาว เพื่อให้สามารถถ่ายภาพบุคคลได้สีผิวที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดด้วย ซึ่งนั่นอาจจะเป็นเหตุผลให้สีผิวของภาพถ่ายบุคคลเป็นแบบนี้ก็ได้นะ

กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก และการซูม

อย่างที่บอกว่า OPPO Reno11 5G ให้กล้องถ่ายรูปมาครบทั้งระยะ Wide, Ultra Wide และระยะ Zoom 2 เท่า ทำให้กล้องถ่ายภาพของ OPPO Reno11 5G สามารถถ่ายภาพมุมกว้างมากและถ่ายภาพซูมได้ในระยะของตัวเองเลย โดยถ้าเป็นการถ่ายภาพมุมกว้างมาก จะใช้เซนเซอร์ขนาด 8 ล้านพิกเซลในการถ่ายแทน ทำให้ผู้เขียนมองว่าคุณภาพของภาพอาจจะออกมาไม่ดีมากเท่ากล้องระยะ 1 เท่า แต่จากภาพที่ถ่ายมาได้ ซอฟต์แวร์ภายในเครื่องได้มีการปรับแต่งภาพถ่ายมุมกว้างมากมาพอสมควร ทำให้ภาพออกมาคล้ายเคียงกันอยู่เหมือนกัน แม้ความคมชัดจะไม่เท่ากัน แต่ทำบาลานซ์สีของกล้องทั้ง 2 ระยะได้ค่อนข้างโอเค

ส่วนการถ่ายภาพซูม แม้ว่าจะมีเลนส์ซูม 2 เท่าแยกมาให้แล้ว แต่ก็ยังสามารถถ่ายซูมได้สูงสุดที่ 20 เท่าอยู่ จากซอฟต์แวร์และการทำงานร่วมกันของกล้องถ่ายภาพหลักและกล้องซูมนั่นเอง ซึ่งจากการทดสอบซูมมา ถ้าจะให้หวังผลการถ่ายภาพซูมได้ดี นำไปใช้ได้ จะอยู่ที่ไม่เกิน 5 เท่า แต่ถ้าอยากซูมจริง ๆ ต้องไม่เกิน 10 เท่า ตัวภาพจะยังไม่วุ้นจนดูไม่ออก แต่ถ้าซูมให้อยู่ในระยะ 5 เท่าได้จะดีกว่านะ (ในภาพด้านล่างคือภาพที่ระยะ 0.6 เท่า, 1 เท่า, 2 เท่า, 5 เท่า, 10 เท่า และ 20 เท่าตามลำดับ)

ภาพถ่ายกลางคืน

ส่วนการถ่ายภาพกลางคืน OPPO Reno11 5G ประมวลผลการถ่ายภาพกลางคืนได้โอเคเลย โดยแม้ว่าเราจะใช้โหมดกล้องถ่ายภาพทั่วไป ก็ยังสามารถถ่ายภาพกลางคืนออกมาได้โอเคเลย ใช้เวลาถ่ายไม่นาน แต่ถ้าอยากจะเก็บรายละเอียดเพิ่มขึ้น ก็ยังสามารถขยับไปใช้โหมดกลางคืนในการถ่ายได้อยู่ ซึ่งคุณภาพว่ากันตรง ๆ ก็ไม่ได้แตกต่างกันมากนัก ดังนั้นทั้ง 2 โหมดสามารถสลับกันใช้ได้โดยไม่ต้องห่วงเรื่องของสีที่ได้จากทั้ง 2 โหมดมากนัก ลองดูภาพเปรียบเทียบกันได้เลย

เอาจริง ๆ ถ้าลองมองภาพแบบผ่าน ๆ จะเห็นว่าถ้าปิดโหมดกลางคืน ภาพจะออกมาดูสว่างกว่าเล็กน้อย แต่ข้อดีคือถ้าเปิดโหมดกลางคืน จะทำให้ตัวภาพมีรายละเอียดที่ดีกว่านั่นเองครับ

เซลฟี

กล้องหน้าของ OPPO Reno11 5G ให้มาเป็นกล้องถ่ายภาพความละเอียด 32 ล้านพิกเซลครับ ซึ่งสามารถถ่ายภาพบุคคลออกมาได้ไม่ได้แย่เลยทีเดียว เป็นกล้องที่สามารถถ่ายแล้ว ก็ให้สกินโทนที่ดูดีไม่แตกต่างจากการถ่ายภาพบุคคลกล้องหลังเลย ลองดูตัวอย่างภาพกันได้ ซึ่งข้อสังเกตเล็กน้อยก็คือตัวกล้องไม่สามารถถ่ายมุมกว้างได้นะ ระยะของกล้องหน้ามีแค่ระยะเดียวเลย

โดยสรุปแล้ว การถ่ายภาพของ OPPO Reno11 5G ถามว่าทำได้ดีไหม ในหลาย ๆ สถานการณ์ถือว่าถ่ายออกมาได้โอเคเลยครับ แต่บางสถานการณ์ก็ยังถ่ายออกมาได้รู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้างเช่นกัน ทั้งนี้ผู้เขียนมองว่า อาจเกิดจากซอฟต์แวร์ที่ยังสามารถปรับแก้เพิ่มเติมได้ ทั้งนี้ถ้ามีการอัปเดตซอฟต์แวร์ที่ทำให้การถ่ายภาพออกมาได้สนุกกว่านี้ จะดีกว่านี้มากเลยทีเดียว แต่โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนเองก็แอบชอบแนวทางการปรับแต่งสีของกล้อง OPPO Reno ในซีรีส์นี้เช่นกัน ที่มีการแต่งสีให้ออกมาดูเรียลมากยิ่งขึ้น ซึ่งค่อนข้างจะเป็นเทรนด์ของสมาร์ตโฟนในปีนี้อยู่เช่นกัน แต่เรื่องของสีนี้เป็นเรื่องที่ขึ้นกับแต่ละบุคคล ดังนั้นการจะตัดสินว่าสีแบบไหนดีที่สุด ผู้เขียนคงจะไม่สามารถตัดสินให้ได้ คำถามนี้ผู้อ่านทุกคนต้องตัดสินใจกันเองนะ !

หน้าจอ

หน้าจอของ OPPO Reno11 5G เป็นหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว ที่รีเฟรชเรต 120Hz แบบโค้ง ความละเอียด 2412 × 1080 (FHD+) แบบโค้ง ที่รองรับ HDR ด้วยนะ โดยมีความสว่างสูงสุด (HBM) ที่ 800 nits ซึ่งเป็นจอที่คมชัดดีเลย สามารถใช้งานได้ลื่นไหลค่อนข้างมาก ส่วนเรื่องสีของจอก็ไม่ได้เป็นจอที่สีสดมาก ๆ นัก แต่เป็นสีที่ให้ความรู้สึกมองแล้วสบายตา ไม่แสบตามากนัก แม้จะเจอปัญหาเรื่องจอดรอปแสงเองอยู่บ้าง แต่ก็เป็นจอที่ไม่ได้มีปัญหาในการใช้งานเลย

นอกจากนั้นจอยังสามารถเปิดคอนเทนต์ YouTube แบบ 4K HDR หรือจะดูคลิป Reels Facebook แบบ HDR ที่อยู่ ๆ ก็สว่างวาบขึ้นมาก็ได้เช่นเดียวกันนะ ส่วนอัตราส่วนของหน้าจอต่อเครื่องก็อยู่ที่ 93% ซึ่งเป็นขนาดที่ทำให้เห็นขอบข้างจอค่อนข้างน้อยเลยเหมือนกัน

นอกจากนั้น OPPO Reno 11 5G ยังมีเซนเซอร์สแกนนิ้วแบบแสงใต้หน้าจอ ที่ตำแหน่งจะอยู่ด้านล่างของจอหน่อย แต่ก็ไม่ได้ล่างมากจนลำบากต่อการแสกนมากนักครับ

สเปกภายในเครื่อง ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม

ด้วยความที่ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมาไว้ในรีวิวก่อนหน้านี้ จะต้องผ่านการประมวลผลผ่านชิปเซตทั้งสิ้นเลย ส่วนของสเปกภายในเครื่องเลยสำคัญไม่แพ้กันนะ โดย OPPO Reno11 5G ใช้ชิปเซตเป็น MediaTek Dimensity 7050 ซึ่งเป็นชิประดับกลางที่สามารถใช้ 5G ได้ ที่เปิดตัวตั้งแต่ประมาณกลางปีที่แล้ว โดยเอาจริง ๆ ก็เป็นชิปที่มากพอแล้วสำหรับการทำงานทั่วไป อาจจะไม่ได้เป็นชิปที่เน้นเล่นเกมมาก แต่ก็เป็นชิปที่เหมาะกับ ‘Everyday Phone’ แล้วแน่นอน เพราะจากที่ถือใช้งานทั่วไปมา ก็ไม่ได้มีปัญหาด้านความหน่วงของเครื่องแต่อย่างใดเลย ยกเว้นแค่ตอนเข้าเกมเท่านั้น

ส่วนการ Benchmark วัดประสิทธิภาพของเครื่องนั้น เราได้ทดสอบบน Geekbench 6.2.2 ได้คะแนน คะแนน Multi Core จะอยู่ที่ 2,378 คะแนน และ Single Core ที่ 949 คะแนน ซึ่งเอาจริง ๆ ก็เป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน้อยแล้วสำหรับสมาร์ตโฟนในเรตราคานี้ แต่ไม่มีผลต่อการใช้งานทั่วไปนักนะ ส่วนการทดสอบกราฟิกผ่าน 3DMark ชุด Wild Life Stress Test คะแนนสูงสุดจะอยู่ที่ 2,288 คะแนน และต่ำสุดที่ 2,274 คะแนน ความนิ่งของคะแนนอยู่ที่ 99.4% และอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 34 องศา ซึ่งเป็นข้อดีในด้านของความร้อนที่ปล่อยออกมาน้อยมาก ๆ แม้จะทดสอบหนักแล้วก็ตามครับ

ส่วนการลงสนามเล่นเกมจริง จากการลองเล่นเกม Genshin Impact ที่ปรับคุณภาพของกราฟิกไว้ที่สูงสุด และตั้งค่า 60FPS มา ตัวเครื่องแจ้งว่าเฟรมเรตที่ได้จะอยู่ที่ 29FPS เฉลี่ยไม่เกิน 32FPS ครับ ซึ่งเป็นตัวเลขที่ไม่ได้สูงมาก แต่แน่นอนว่าเรายังสามารถลดคุณภาพของภาพให้เหลือประมาณปานกลาง และปรับ 60FPS จะทำให้เกมลื่นกว่าที่ปรับสูงสุดอยู่เหมือนกันครับ หรือถ้าลดเฟรมเรตเหลือ 30 FPS ก็น่าจะเล่นได้นิ่งกว่าเดิมอีก

ทั้งนี้ โดยรวมแล้วตัวเครื่องของ OPPO Reno11 5G จะเอียงไปในด้านการใช้งาน ทำงาน Productivity และการถ่ายภาพ มากกว่าการเล่นเกมนะ โดยจากประสบการณ์การใช้งานมา ตัวเครื่องได้ใช้ซอฟต์แวร์เป็น ColorOS 14 ที่มีพื้นฐานมาจาก Android 14 ที่ OPPO ปรับแต่งมาเอง วึ่งจากที่ได้ใช้มาซักระยะแล้วพบว่าซอฟต์แวร์ของ OPPO สามารถทำให้ใช้งานได้ลื่นไหลดีมาก ๆ เรื่องการเจอบัคน้อยก็เรื่องหนึ่ง แต่ที่ดีมาก ๆ คือเวลาใช้งานตัวเครื่องมักจะไม่ค่อยเกิดอาการหน่วงอะไรมากนักเลย ไถโซเชียล เล่น TikTok หรือดู YouTube ก็ไม่ค่อยเจออาการหน่วงแต่อย่างใดครับ ดังนั้นถ้าซื้อมาทำงานถือว่าค่อนข้างดีเลย

นอกจากนี้ตัวเครื่องยังมีเทคโนโลยี ‘LinkBoost’ ที่เป็นเทคโนโลยีในการเร่งสัญญาณอินเทอร์เน็ตในเครื่อง ผ่านการออกแบบเสาอากาศรอบทิศทางให้ยังทำงานได้ดีอยู่ แม้จะเป็นพื้่นที่ที่สัญญาณเข้ามาถึงได้ยาก เช่นลิฟต์ อาคารจอดรถ ในคอนเสิร์ต หรือรถไฟใต้ดิน ซึ่งที่ลองใช้งานมาในลิฟต์ หรือรถไฟใต้ดิน สัญญาณ 5G ก็ยังทำงานได้โอเคอยู่เหมือนกัน อันนี้ถือว่าดีเลย เพราะในสถานการณ์ที่คนแย่งกันใช้สัญญาณโทรศัพท์มือถือ เรื่องสัญญาณเองก็สำคัญไม่แพ้กัน

แบตเตอรี่

อีกเรื่องที่ไม่พูดถึงไม่ได้เลยของ OPPO Reno11 5G เครนื่องนี้คือเรื่องของแบตเตอรี่ครับ ด้วยว่าสมาร์ตโฟนรุ่นนี้ให้ความจุของแบตเตอรี่มาที่ 5000 mAh (Li-Po) ครับ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่เป็นมาตรฐานของสมาร์ตโฟนแลฃ้วก็ตาม แต่ชิปเซต, ซอฟต์แวร์, หน้าจอ และอะไรอีกหลายอย่างมาก มีผลต่ออายุการใช้งานของแบตเตอรี่ทั้งหมดเลย

ถามว่า OPPO Reno11 5G แบตเตอรี่อึดไหม เรียกได้ว่าค่อนข้างโอเคครับ โดยเราลองทดสอบใช้งานจริง ตั้งแต่ 10 โมงเช้า จนถึง 4 ทุ่ม โดยการเปิด 5G ไปตลอด ใช้งานทั่วไป เล่านโซเชียล TikTok ถ่ายรูปบ้างเล็กน้อย และไม่เล่นเกม Screen On Time ประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง แบตเตอรี่ลดจาก 100% เหลืออยู่ที่ 42% ครับ ซึ่งการใช้งานจริงอาจจะอึดกว่านีได้อีก ถ้ามีการเชื่อมต่อ WiFi ไปด้วยครับ

ในขณะที่ ถ้าเล่นเกม Genshin Impact ปรับสุดแบบตอนทดสอบ เป็นเวลา 20 นาทีต่อกัน ผ่าน 5G แบตเตอรี่จะลดไป 10% ครับ และเกิดความร้อนพอสมควรเลย ถือว่าเป็นตัวเลขที่ยังพอรับได้สำหรับสมาร์ตโฟนในเรตราคานี้ครับ

ส่วนการชาร์จแบตเตอรี่กลับ ก็เป็นอีกอย่างที่ OPPO ทำออกมาได้ดีเหมือนกัน ด้วยระบบการชาร์จอบตเตอรี่กลับ SUPERVOOC ที่ใน Reno11 5G ให้มาที่ 67W ผ่านหัวชาร์จที่แถมมาให้ภายในกล่องแล้วเรียบร้อยครับ และด้วยตัวเลขวัตต์ของหัวชาร์จที่จัดเต็มขนาดนี้ ผู้เขียนเลยขอลองจับเวลาชาร์จดู โดยชาร์จจาก 5 – 68% ได้ในเวลา 30 นาที ถือว่าเป็นการชาร์จที่เร็วมาก นึกภาพว่าเราเสียบชาร์จทิ้งไว้ ไปอาบน้ำ ออกมา แบตเตอรี่ก็มากพอที่พร้อมจะออกไปข้างนอกแล้วครับ

สรุปส่งท้าย

ตลอดทางที่เราได้รีวิว OPPO Reno11 5G เครื่องนี้มา ต้องบอกกันตรง ๆ ว่านี่อาจจะไม่ใช่สมาร์ตโฟนเรือกลางที่ดีที่สุด แต่จาที่ได้ใช้งานมานานพอสมควรก็พบว่า OPPO Reno11 5G เป็นสมาร์ตโฟนที่เหมาะจะเป็น ‘Everyday Phone’ หรือเป็นสมาร์ตโฟนที่สามารถซื้อมาใช้งานในชีวิตประจำวันได้ค่อนข้างดีเลย ด้วยซอฟต์แวร์ การจัดการพลังงานที่ค่อนข้างโอเค (แถมชาร์จกลับเร็วมาก) ส่วนเรื่องการถ่ายภาพ แม้จะไม่ใช่สมาร์ตโฟนที่ถ่ายรูปได้ดีที่สุดในตอนนี้ แต่คุณภาพของภาพหลายภาพก็ดูดีมากพอจะนำไปใช้ได้แล้วเช่นเดียวกัน หรือแม้บางภาพอาจจะยังไม่พอใจ ก็นำไปแต่งต่อได้ไม่ยากนักด้วยนะ และแม้จะมีจุดติอยู่บ้าง แต่ผู้เขียนก็แอบรักซอฟต์แวร์ของ OPPO ขึ้นมาอีกหน่อยแล้วเหมือนกัน

และแน่นอนว่า รีวิวที่ดีต้องมีราคาครับ OPPO Reno11 5G วางจำหน่ายในประเทศไทยที่ความจุ 12/256GB เท่านั้น ที่ราคา 14,990 บาทครับ ซึ่งสามารถหาซื้อได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย OPPO ทั่วประเทศ, OPPO Brand Shop ผู้ให้บริการเครือข่าย และ Online Official Store ของ OPPO ทั้ง Shopee และ Lazada ได้เลยครับ