Our score
8.8Ricoh GRIIIx HDF
กล้องตัวเดียวในโลกที่มาพร้อมกับฟิลเตอร์สไตล์ Blackmist ในตัว 'Ricoh GRIII, GRIIIx HDF'
แม้ว่าแฟน ๆ GR จะคาดหวังการมาของกล้องในเจนที่ 4 กันอยู่ไม่น้อย แต่ก่อนจะข้ามรุ่น Ricoh ก็ได้เปิดตัวกล้องซีรีส์ GR รุ่นใหม่ ในชื่อ 'GRIII HDF' และ 'GRIIIx HDF' ที่มีการใส่ฟิลเตอร์ Highlight Diffusion Filter (HDF) ให้ภาพนุ่มฟุ้งชวนฝันสไตล์กล้องฟิล์มมาให้ในตัว กับเอกลักษณ์ภาพที่ไม่เหมือนใครในขนาดพอดีกับกระเป๋าเสื้อ แล้วฟิลเตอร์ HDF ที่ใส่มาเนี้ย มีแล้วดียังไง แล้วคนที่มี GRIII อยู่แล้วต้องหามาเพิ่มไหม?
จุดเด่น
- ฟิลเตอร์ HDF ให้อารมณ์ภาพฟุ้ง ๆ นุ่มนวลชวนฝัน แบบกล้องยุคฟิล์ม
- เป็นกล้องรุ่นเดียวในโลกตอนนี้ที่มี HDF ในตัว
- กล้องไซซ์กะทัดรัด ใส่กระเป๋าเสื้อได้สบาย
- เซนเซอร์ขนาดใหญ่ ASP-C 24 ล้านพิกเซล ไร้ AA Filter เก็บดีเทลได้ดีมาก
- โหมดสีเป็นเอกลักษณ์ของ GR เหมาะจบหลังกล้อง
- มีกันสั่นในตัวกล้อง
- มีโหมด Snap ตั้งระยะโฟกัสล่วงหน้าสำหรับสาย Street
- โฟกัสได้ใกล้มาก โหมดมาโครใกล้สุด 12 ซม. จากหน้าเลนส์
- เป็นกล้องที่เหมาะจะพกในทุก ๆ วัน
- มีเมมในตัวให้ 2GB เพื่อสถานการณ์ฉุกเฉิน เมมพัง / ลืมเมม
จุดสังเกต
- สเปกยังคงเหมือน GR III รุ่นดั่งเดิม
- จอฟลิบไม่ได้
- แบตเตอรี่ใช้ได้ประมาณ 200-300 ภาพ
- ระบบโฟกัสจากยุค 2019 สภาพแสงปกติใช้งานได้รวดเร็ว แต่ถ้าแสงน้อยต้องใจเย็น ๆ กันบ้าง
- วิดีโอมีไว้เหมือนเป็นของแถม กับความละเอียด Full HD 60p ในปี 2024
-
คุณภาพของไฟล์
8.9
-
ขนาดกะทัดรัด
10.0
-
ฟิลเตอร์ HDF
10.0
-
สเปกโดยรวม
7.8
-
วัสดุ
9.0
-
ดีไซน์
9.0
-
แบตเตอรี่
7.8
-
ความคุ้มค่า
8.0
เรียกว่าเป็นตำนานมาตั้งแต่ยุคฟิล์มแล้วครับกับกล้องซีรีส์ Ricoh GR ซึ่งก็มีการพัฒนาต่อยอดมาถึงเจนที่ 3 กับ GRIII ในปี 2019 และล่าสุดปี 2024 ก็ได้ออก GR รุ่นใหม่อีกครั้ง กับ ‘GRIII HDF’ และ ‘GRIIIx HDF’ แม้จะอยู่ในเจนเดิมแต่ก็มาพร้อมฟิลเตอร์พิเศษภายในตัวกล้อง ที่จะดลบันดาลภาพของคุณให้มีความนุ่มนวลฟุ้งชวนฝัน เหมือนกับในภาพยนตร์ดัง ๆ หลายเรื่องใช้กัน ในขนาดกะทัดรัดพอดีกับกระเป๋าเสื้อ!
ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจให้ตรงกันก่อน เนื่องจากสเปกของเจ้า HDF นั้นเหมือนกับรุ่น GRIII รุ่นดั้งเดิมเลยครับ เราจึงจะมารีวิวแค่ในส่วนของภาพเท่านั้น และในครั้งนี้เราก็ได้ GRIIIx HDF ที่มาพร้อมระยะเลนส์ 40mm F2.8 เทียบเท่ากล้องฟูลเฟรมมารีวิวให้ชมกัน กับมุมมองใกล้เคียงสายตามนุษย์ ถ่ายง่าย ถ่ายได้ทุกอย่างในชีวิตประจำวัน และที่สำคัญยังทำละลายหลังได้ดีด้วยนะ !! แถมยังมีเลนส์เสริม Tele conversion ยืดระยะเป็น 75mm มาลองพร้อมกันเลย
สเปก Ricoh GRIIIx HDF
- GR Lens 40mm F2.8 ชิ้นเลนส์ 7 ชิ้น 5 กลุ่ม (ชิ้นเลนส์พิเศษ aspherical 2 ชิ้น) สามารถโฟกัสได้สุดถึง 12 ซม. จากหน้าเลนส์ในโหมดมาโคร
- เซนเซอร์ CMOS ความละเอียด 24.24 ล้านพิกเซล ขนาด APS-C พร้อมชิปประมวลผล GR ENGINE 6
- ISO100~102400
- ระบบโฟกัส Hybrid AF พร้อมระบบโฟกัสใบหน้า และดวงตาอัตโนมัติ
- ระบบกันสั่น SR (Shake Reduction) 4 สต็อป พร้อมฟังก์ชัน Auto Horizon Correction และ AA Filter Simulator
- จอภาพ LCD ระบบสัมผัสความละเอียด 1,037,000 จุด
- ชัตเตอร์สปีดสูงสุด 1/4000s
- วิดีโอ Full HD 60p
- รองรับอุปกรณ์เสริม GT-2 Tele conversion แปลงทางยาวโฟกัสเพิ่มเป็น 75mm (เทียบเท่าในกล้องฟูลเฟรม)
- มีโหมด Snap ตั้งระยะโฟกัสล่วงหน้า
- บอดี้ Magnesium alloy แข็งแรงทนทาน
- มี internal memory 2GB
- SD Card UHS-I x1
- แบตเตอรี่ DB-110
- Wi-Fi, Bluetooth
- USB Type-C
- น้ำหนัก 262 กรัม
HDF กับเอกลักษณ์ที่มีเฉพาะ GR
สำหรับฟิลเตอร์ HDF เรียกง่าย ๆ ก็เป็นฟิลเตอร์ Diffusion ชนิดหนึ่งนี่ล่ะครับ โดยทาง Ricoh กล่าวว่า เจ้าฟิลเตอร์ HDF ตัวนี้ พัฒนามาจากเทคโนโลยี Inkjet ที่ช่วยกระจายแสงในส่วน Highlight ให้มีความนุ่มนวล ดู Glow ให้อารมณ์คลาสสิกเหมือนที่เราเห็นกันบ่อย ๆ ในภาพยนตร์ แถมยังทำให้คอนทราสต์มีความนุ่มขึ้น ไม่ดูจมจนเกินไป พูดง่าย ๆ ว่ามันก็คือฟิลเตอร์ ‘Blackmist’ ที่คนสมัยนี้นิยมกันดี ๆ นี่เอง
บวกกับเอกลักษณ์ความเป็น GR คือเซนเซอร์ใหญ่ ขนาด APS-C 24 ล้านพิกเซล แบบไร้ AA Filter ไซซ์เดียวกับมิเรอร์เลสรุ่นโปรในตลาด กับเลนส์ที่ออกแบบมาเฉพาะกับกล้องรุ่นนี้ ทำให้ภาพที่ได้มีดีเทล และความคมชัดสูงมาก แต่พอมี HDF ก็ทำให้ภาพมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้นไปอีก ส่วนไหนที่เป็น Highlight ก็เรนเดอร์ความฟุ้งออกมาได้อย่างสวยงาม ในขณะที่ส่วนที่ควรคมก็ยังเก็บดีเทลไว้ได้ แต่นุ่มนวลขึ้นอีกเล็กน้อยพอเป็นกิมมิก เป็นอีกอารมณ์ที่อยากให้ได้ลองสัมผัสกัน
ส่วนการใช้งานก็ยิ่งง่ายเข้าไปใหญ่ ไม่ต้องใส่หรือถอดฟิลเตอร์ Blackmist ที่หน้าเลนส์แบบกล้องตัวอื่น ๆ เพียงกดปุ่ม Fn บนตัวกล้อง ก็สามารถเปิดปิด HDF ได้ทันที (ค่าโรงงานตั้งมาแบบนี้ แต่เราก็สามารถคัสตอมปุ่มให้เหมาะกับความถนัดของเราได้เช่นกันครับ) เป็นอะไรที่สะดวกสบายหาที่ไหนไม่ได้จริง ๆ ช็อตไหนอยากได้ความฟุ้งก็กดเปิดได้แบบทันใจ
Tips: AA Filter หรือ Anti-aliasing Filter พูดง่าย ๆ คือฟิลเตอร์ป้องกันการเกิด Moiré (ลายก้นหอยที่เกิดเมื่อถ่ายวัตถุที่มีความเป็น Pattern สูง เช่น ลายผ้า) ซึ่งในกล้องบางรุ่นที่มีความละเอียดสูงหรือเน้นเก็บดีเทลจะถอดฟิลเตอร์ตัวนี้ออกไปครับ ทำให้ได้ภาพที่มีความคมชัดสูงกว่า แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปว่า GR จะเจอ Moiré นะครับ เพราะเขามีระบบ AA Filter Simulator ในตัวกล้องให้เปิดใช้งานกันได้เช่นกัน
สีของ GR ที่หลายคนหลงไหล + HDF จบหลังกล้องได้สบาย~
สิ่งที่ทำให้ GRIII ได้รับความนิยมนอกจากตัวเล็กกะทัดรัด คุณภาพสูง เหมาะกับงานสตรีตแล้ว โทนสีของกล้องตัวนี้น่าจะถูกใจใครหลายคนไม่ยาก โดยมีให้เลือกตั้งแต่ Standard, Vivid, Monotone, Soft Monotone, Hard Monotone, Hi-Contrast B&W, Positive Film, Negative Film, Bleach Bypass, Retro, Cross Processing และ HDR Tone เรียกว่าจบหลังกล้องได้เลย
จากที่ลองถ่ายกับนางแบบมาหลายคนก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “น่าจะพกเจ้า GRIIIx HDF ออกไปเที่ยวมาก ๆ โทนที่ได้คือสวยแบบไม่ต้องแต่งเพิ่มแล้ว” โดยเฉพาะ Negative กับ Positive ที่รู้สึกจะโดนใจสาว ๆ เป็นพิเศษ ตัว Negative จะให้สีสันที่ไม่สดจนเกินไป ผิวขาวสไตล์เกาหลี ในขณะที่ Positive จะมีความสด ดูมีชีวิตชีวามากกว่า เป็นส่วนผสมที่ลงตัวกับ HDF ที่เรนเดอร์ผิวออกมาได้อย่างนุ่มนวล แต่ก็ยังคงเก็บเอกลักษณ์ความคมเอาไว้ ที่ใครดูภาพก็ต้องคิดว่าเป็นกล้องโปรถ่าย แต่จริง ๆ คือกล้อง Compact ตัวเท่าฝ่ามือนี่ล่ะครับ
แต่ถ้าถามว่าผู้เขียนชอบโทนสีไหน ก็ต้องบอกเลยครับว่า Hi-Contrast B&W นี่ดูจะโดนใจมากเป็นพิเศษ สายขาวดำก็น่าจะชอบกัน
ส่วนใครที่คิดว่าอยากปรับสีเองอันนี้ก็สามารถคัสตอมเพิ่มเอาได้เลยครับ ซึ่งก็เราก็มีแอปฯ มาแนะนำด้วย กับ Ricoh Recipes อยากได้แนวไหนเลือกดูได้ตามใจชอบเลย!
สังเกตอย่างไร ตัวไหนคือ HDF?
นอกจากสเปกแล้ว หน้าตาก็เป็นอีกสิ่งที่ GRIII HDF และ GRIIIx HDF ยังคงเหมือนรุ่นปกติไม่ผิดเพี้ยน แต่เขาก็แอบเปลี่ยนจุดเล็ก ๆ ให้แยกกันง่ายขึ้นอยู่ครับ กับปุ่มชัตเตอร์สีเงิน Dark Silver ถ้าเห็นแบบนี้มั่นใจได้ว่าคือรุ่น HDF แน่นอน!
ส่วนมุมอื่น ๆ ก็คือไม่ต่างจ้า GRIII เดิมเป็นยังไง HDF ก็เป็นแบบนั้น~
สิ่งที่ต้องแลกมาของ HDF
แต่สิ่งที่ต้องแลกมาก็มีครับ นั่นก็คือ ND filter ที่ถูกถอดออกไปจากในรุ่นปกติ เปลี่ยนมาเป็น HDF แทน ซึ่งถ้าถามว่า ND สำคัญขนาดนั้นไหม ส่วนตัวมองว่าในกล้องสมัยนี้ไม่ได้สำคัญขนาดนั้นครับ เพราะสปีดชัตเตอร์สูงสุดที่ GRIII ทำได้คือ 1/4000s บวกกับเลนส์ F2.8 ซึ่งก็น่าจะเพียงพอต่อการถ่ายในทุกสภาพแสงแล้ว ยกเว้นก็แต่ในบางจังหวะที่อยากลากสปีดชัตเตอร์ช้า ๆ เล่นกับโมชันในตอนกลางวันเท่านั้น
กับระบบโฟกัสที่เมื่อเปิด HDF อาจโฟกัสได้ยากขึ้นเล็กน้อย อันนี้ก็เข้าใจได้ครับว่าภาพมันฟุ้งขึ้นจะโฟกัสลำบากขึ้นก็เป็นเรื่องธรรมดา ซึ่งตามปกติแล้วในสภาพแสงทั่วไป GRIIIx HDF ถือว่าโฟกัสได้ไวเลยทีเดียว แต่ถ้าแสงน้อยเมื่อไรก็ต้องใจเย็นกันสักนิดหนึ่ง ตามประสากล้องสเปกปี 2019
Tele Conversion เสริมทางยาวโฟกัสเป็น 75mm
หลายคนอาจจะยังไม่รู้ว่าจริง ๆ แล้วกล้อง Compact อย่างเจ้า GRIIIx HDF ก็สามารถติดเลนส์เสริมได้เช่นเดียวกันครับ โดยมีเจ้า GT-2 Tele Conversion ที่จะมาช่วยขยายทางยาวโฟกัสให้ไกลขึ้นเป็น 75mm แต่ก็ต้องแลกมาด้วยขนาดที่ดูเทอะทะขึ้น ดูผิด Concept เดิม ๆ ของเจ้า GR ไปเลย
สำหรับการใช้งานก็ต้องถอดแหวนด้านหน้าบอดี้ของ GRIIIx ออกเสียก่อนครับ ก่อนจะประกบด้วย Adapter GA-2 และหมุน Tele conversion GT-2 ตามลงไป ตัวกล้องก็จะรู้ทันทีว่าตอนนี้เราติดเลนส์เสริมแล้วนะ กลายเป็น 75mm ให้พร้อมใช้งาน
แต่จริง ๆ เจ้า Tele Conversion ตัวนี้แอบมีความลับอยู่ครับ แทนที่ได้จะไฟล์ภาพเต็ม ๆ 6000×4000 ตามปกติ แต่ไฟล์จะถูกครอปเล็กน้อยเหลือ 4800 x 3200 ซึ่งที่เป็นแบบนี้ก็เพราะว่า Ricoh เขาพยายามออกแบบให้เลนส์มีขนาดไม่ใหญ่จนเกินไป เมื่อเราติดเลนส์เสริมกล้องจะครอปเข้าไปที่ 50mm ก่อน แล้วจึงใช้ Optic จากเลนส์ให้กลายเป็น 75mm อีกทีนั่นเอง
และเช่นเดียวกับเลนส์หลักบนตัวกล้องที่ถูกออกแบบมาเฉพาะ GRIIIx เจ้าเลนส์เสริมตัวนี้ก็เช่นกันครับ ทำให้ภาพที่ได้มีความคมชัด แถมได้รูรับแสงที่ F2.8 เท่าเดิม แต่ถ้าใครคิดจะหามาใช้ถ่าย Portrait ละลายหลังก็ต้องบอกว่าอาจไม่ใช่ทาง เพราะภาพที่ได้มีความเป็นมิติ 75mm ก็จริง แต่เรื่องโบเก้ไม่ได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเท่าไหรนักนะครับ
แต่ถ้าอยากเปลี่ยนมุมมองเดิม ๆ ด้วยเลนส์ 75mm ก็สามารถถ่ายได้หลากหลายแนวขึ้นครับ อย่างภาพสัตว์เลี้ยง บางทีเราเข้าอาจเข้าใกล้ได้ไม่สะดวก เจ้าเลนส์เสริมตัวนี้นี่ล่ะที่จะมาตอบโจทย์ได้ดีเลยทีเดียว
กับอีกข้อสังเกตคือ GRIIIx HDF ปกติแล้วสามารถโฟกัสใกล้สุดได้ที่ระยะ 12 ซม. ครับ หลายคนก็คงแอบคิดเหมือนผู้เขียนว่าถ้าติด Tele Conversion เข้าไปจะโฟกัสได้ใกล้ขึ้นอีกรึเปล่าน้า อันนี้บอกเลยฝันสลาย เลนส์ติดกล้องโฟกัสได้ใกล้กว่าครับ ตามภาพตัวอย่างด้านล่างเลย
มี GRIII / GRIIIx อยู่แล้ว ควรมี HDF ไหม!?
เชื่อว่าหลายคนน่าจะสงสัยเหมือน ๆ กัน ระหว่างมี GRIII, GRIIIx อยู่แล้ว แบบนี้ซื้อฟิลเตอร์ Blackmist มาติดเอาเองไม่คุ้มกว่าเหรอ อันนี้ก็ต้องบอกเลยครับว่าก็ทำได้เหมือนกัน แต่ก็จะเสียเอกลักษณ์ความเล็กพกพาสะดวกของซีรีส์ GR ไป เพราะต้องใส่ adapter แปลงหน้าเลนส์ ไหนจะติดฟิลเตอร์แยกเข้าไปอีก ซึ่งในตอนนี้กล้องที่เล็กแบบพกใส่กระเป๋าเสื้อเดินถ่ายได้ทั้งวันแล้วมีฟิลเตอร์ Diffusion มาให้ในตัวก็มีเพียง Ricoh นี่ล่ะครับที่ทำ มันแทนกันไม่ได้จริง ๆ
สรุป Ricoh GRIIIx HDF
สำหรับคนที่กำลังมองหากล้อง Compact คุณภาพดี ๆ สักตัวที่มาพร้อมฟิลเตอร์พิเศษจำพวก Blackmist แถมมีกันสั่นในตัว บอกเลยว่า Ricoh GRIIIx HDF จะไม่ทำให้คุณผิดหวังครับ ทั้งขนาดตัวกะทัดรัดสามารถพกติดตัวไปได้ทุกที่ในชีวิตประจำวันแบบไม่รู้สึกเกะกะใด ๆ เล็กกว่ามือถือซะอีก กับแอปฯ Image Sync ที่สามารถส่งไฟล์ขนาดย่ออัปลงโซเชียลได้ทันที โทนสีที่สวยจนให้ความรู้สึกว่าคุ้มค่าที่หยิบกล้องขึ้นมาถ่ายในทุก ๆ ครั้ง
ยิ่งในปัจจุบันกระแสกล้อง Compact High-End มาแรงแบบนี้ ใครที่สนใจก็รีบหน่อยนะครับ เพราะที่ญี่ปุ่นของขาดผลิตไม่ทันกับความต้องการถึงขนาดต้องจับลอตเตอรี่เพื่อลุ้นสิทธิซื้อ HDF กันแล้ว 😂
Ricoh GRIIIx HDF มีราคาค่าตัวอยู่ที่ 44,990 บาท ส่วนใครที่อยากได้มุมมองที่กว้างขึ้นมาหน่อยกับระยะ 28mm ก็มีอีกตัวเลือกคือ Ricoh GRIII HDF ในราคา 40,990 บาท ครับ
//สุดท้ายต้องขอบคุณทาง East Enterprises Co.,Ltd. และ Ricoh Pentax Thailand ที่ให้ยืมกล้องมารีวิวในครั้งนี้ด้วยครับ 🙏