รีวิว Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 หูฟังไร้สายตัวท็อป ที่ (น่าจะ) แก้ปัญหาแบตฯ แล้ว !
Our score
9.2

Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4

ราคา 11,890 บาท

จุดเด่น

  1. คุณภาพเสียงดี เสียงสมดุลย์ เบสกำลังพอดี รายละเอียดเสียงดี
  2. รองรับ Bluetooth Codec หลากหลายมากทั้ง SBC, AAC, aptX, aptX Adaptive/Lossless และ LC3
  3. เชื่อมต่อได้ 2 อุปกรณ์พร้อมกัน
  4. แอปสามารถปรับแต่งได้เยอะมาก เลือกโหมดการเชื่อมต่อ Bluetooth ให้เหมาะกับการใช้งานได้
  5. แบตเตอรี่เมื่อเปิด anc ใช้งานต่อ 7 ชั่วโมงต่อเนื่อง และสูงสุด 30 ชั่วโมงผ่านเคสชาร์จ

จุดสังเกต

  1. หน้าตาเหมือนรุ่นเดิม ขนาดหูฟังเท่าเดิม
  2. เสียงไมค์ยังไม่ดีที่สุด
  3. การควบคุมแบบสัมผัส อาจมีโอกาสลั่นบ้างเวลาจับหูฟัง
  • คุณภาพเสียง

    9.5

  • คุณภาพวัสดุ

    9.0

  • ความคล่องตัวในการใช้

    10.0

  • ความสามารถในการคุยโทรศัพท์

    9.0

  • ความคุ้มค่า

    8.5

MOMENTUM True Wireless เป็นซีรีส์หูฟังไร้สายที่ขายมายาวนานของ Sennheiser นะครับ ซึ่งก็ให้เสียงเนี้ยบตามสไตล์หูฟังตัวท็อปมายาวนาน และปีนี้ก็มาถึง Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 (MTW 4) ที่หน้าตาแบบเดียวกับรุ่นที่ 3 แต่ก็ปรับจูนเสียงให้ดีขึ้นไปอีก พร้อม ๆ กับการปรับปรุงด้านแบตเตอรี่จากทางแบรนด์ ซึ่งน่าจะทำให้ปัญหาแบตเตอรี่ที่พบในหลายรุ่นก่อนหน้านี้ได้รับการแก้ไขไปด้วยในรุ่นที่ 4 นี้

ดีไซน์ของหูฟัง

ดีไซน์ของ Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 นั้นเหมือนกับรุ่น 3 ไม่มีผิดเลยนะครับ ต้องจับมาวางเทียบกันถึงจะสังเกตความแตกต่างได้ โดยเคสหูฟังยังเป็นวัสดุหุ้มผ้า ให้สัมผัสแบบออร์แกนิกไม่เหมือนหูฟังรุ่นไหน โดยเป็นเคสขนาดกำลังดี พกพาสะดวก พร้อมรองรับการชาร์จด้วยพอร์ต USB-C ที่อยู่ด้านหน้า และการชาร์จไร้สายในมาตรฐาน Qi

ส่วนตัวหูฟังก็เป็นพลาสติกเงาขนาดเท่าเดิมครับ ใส่ในหูได้สบายและยึดเกาะหูได้ดีพอสมควร ซึ่งสามารถเปลี่ยนปีกของหูฟังได้อีก 3 แบบ เพื่อเพิ่มการยึดเกาะให้มากขึ้น ส่วนตัวจุกหูฟังมีมาให้ 4 ขนาด ให้เลือกตามความเหมาะสมกับขนาดหู

Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 ทั้ง 3 สี

ในรุ่นนี้มี 3 สีให้เลือกคือสีดำ Black Graphite, สีขาว White Silver และสีพิเศษของรุ่นนี้คือ Black Copper สีทองแดงเข้ม ๆ ที่เรารีวิวในวันนี้ครับ

การควบคุมหูฟัง

MOMENTUM True Wireless 4 ยังใช้การสั่งงานด้วยการแตะที่บริเวณ Faceplate แถว ๆ โลโก้ของ Sennheiser เหมือนเดิมครับ ซึ่งก็สามารถปรับแต่งการควบคุมเหล่านี้ได้ผ่านแอปฯ Smart Control โดยมีการสั่งงานมาตรฐานดังนี้

แตะหูข้างซ้ายลักษณะการแตะแตะหูข้างขวา
ปรับการดึงเสียงภายนอก (Transparency)แตะ 1 ครั้งเล่นเพลง-หยุดเพลง
ย้อนแทร็กแตะ 2 ครั้งข้ามแทร็ก
ปรับระบบตัดเสียงรบกวน (ANC)แตะ 3 ครั้งเรียกผู้ช่วยเสียง
ลดเสียงแตะค้างเพิ่มเสียง

ส่วนถ้าใช้งานในระหว่างคุยโทรศัพท์จะเหลือแค่ 2 คำสั่งที่แตะผ่านหูฟังข้างซ้ายหรือข้างขวาก็ได้ครับ

  • แตะ 1 ครั้ง รับสาย หรือปิดเสียงไมค์
  • แตะ 2 ครั้ง ปฏิเสธสาย หรือจบสาย

นอกจากนี้ยังมีความสามารถในการเล่นเพลง หยุดเพลงเองเมื่อใส่หรือถอดหูฟังด้วย แต่ด้วยการสั่งงานแบบสัมผัส ก็อาจมีปัญหาสั่งงานลั่นบ้างครับ ต่างจากหูฟังหลายรุ่นในปัจจุบันที่ใช้งานบีบสั่งงาน ทำให้มีโอกาสลั่นน้อยกว่า

การปรับแต่งหูฟังผ่านแอปฯ Smart Control

แอปฯ Sennheiser Smart Control

แอปฯ Sennheiser Smart Control เป็นแอปฯ จำเป็นสำหรับคนที่ใช้หูฟังรุ่นนี้เลยครับ เพราะปรับแต่งตั้งค่าได้อีกเยอะมาก และยืดหยุ่นขั้นสุด ตัวอย่างสิ่งที่ปรับได้ผ่านแอปฯ คือ

  • ดูรายการอุปกรณ์ที่เชื่อมต่อและลบอุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้ออก
  • ปรับแต่งเสียงแบบ EQ ซึ่งมีให้ปรับแบบ 6 Band และมีแบบสำเร็จรูปมาให้ 7 แบบ
  • หรือจะเลือกเป็นปรับแต่งเสียงแบบ Sound Personalization แทนก็ได้ ที่ให้เราค่อย ๆ ฟังเสียงแล้วปรับระดับเสียง ปรับความสมดุลของเสียงไปเรื่อย ๆ จนสุดท้ายได้เสียงที่ถูกใจเรา
  • ปรับรูปแบบของระบบตัดเสียงรบกวน ซึ่งถ้าเลือกผ่านแอปฯ จะสามารถเลือกแบบ Anti Wind เพื่อตัดเสียงลมได้ ถ้าใช้การแตะ 3 ครั้งจะทำได้แค่เปิดกับปิด
  • ปรับระดับโหมดดึงเสียงภายนอก (Transparency Level)
  • ปรับรูปแบบการแตะควบคุมหูฟัง
  • ทดสอบว่าเราใช้จุกหูฟังที่เหมาะสมหรือไม่ (Fit Test)
  • ตั้งค่า Sound Zone เพื่อให้หูฟังปรับค่าการทำงานเองตามตำแหน่งสถานที่ต่าง ๆ ที่เราเซตไว้ เช่น เมื่อถึงที่บ้านให้เปิด Transparency เอง ส่วนที่ทำงานให้ตัดเสียงรบกวนเต็มเหนี่ยว แล้วปรับ EQ ลดเบสลง ซึ่งกำหนดได้สูงสุด 20 โซน

นอกจากนี้ยังมีตัวเลือกในกลุ่ม Settings ที่ดูรายละเอียดและปรับแต่งได้ลึกกว่าหูฟังทั่วไป

  • ปรับโหมดการรับส่งสัญญาณของหูฟัง ซึ่งเมื่อปรับแล้ว หูฟังจะรีสตาร์ตตัวเองหนึ่งครั้งถึงจะใช้ได้ โดยมีให้เลือก 4 โหมดคือ
    • Standard สำหรับการใช้งานทั่วไป ฟังเพลงตามปกติ จูนสัญญาณให้เหมาะสม ทำให้เสียงกระตุกน้อยที่สุด
    • Low Latency โหมดความหน่วงเสียงต่ำ สำหรับคนที่ใช้หูฟังนี้เล่นเกม
    • High Resolution สำหรับรับเพลงระดับ Hi-Res มาเล่นที่หูฟัง แต่ถ้าไม่มีสมาร์ตโฟน หรือจุ๊บเสียบเพื่อส่งสัญญาณเป็น aptX Adaptive ก็ไม่ต้องเปิดใช้ก็ได้ เพราะไม่มีผลอะไร
    • Lossless สำหรับรับเพลงคุณภาพระดับเท่า CD แบบไม่สูญเสียคุณภาพ แต่ก็ต้องการตัวส่งสัญญาณที่รองรับ aptX Lossless เช่นกัน ซึ่งถ้าคุณใช้กับ iPhone เป็นหลัก ก็ไม่ต้องเลือกโหมด High Resolution หรือ Lossless ก็ได้ครับ เพราะ iPhone ไม่รองรับอยู่แล้ว
  • รายงาน Codec ของ Bluetooth และคุณภาพเสียง ซึ่งเมื่อเชื่อมอุปกรณ์พร้อมกัน 2 ตัวเข้ากับหูฟัง จะสามารถรายงานคุณภาพของอุปกรณ์ที่กำลังเล่นเพลงอยู่ได้ด้วย เช่นเชื่อมต่อ MOMENTUM True Wireless 4 กับ iPhone และคอมพิวเตอร์ เมื่อกำลังฟังเสียงจากคอมพิวเตอร์ ก็สามารถเปิด iPhone ดูได้ว่าหูฟังกำลังรับเสียงจากคอมพิวเตอร์ด้วย Codec อะไรและคุณภาพเท่าไหร่ มีประโยชน์มากสำหรับการวิเคราะห์คุณภาพเสียงที่อุปกรณ์ส่งได้
  • Battery ECO สำหรับคนที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องยาวนาน ให้เปิดตัวเลือกนี้ จะลดคุณภาพเสียงลง แต่ใช้ได้ยาวขึ้น
  • Smart Pause ใช้หยุดเพลงอัตโนมัติเมื่อถอดหูฟังออกจากหู
  • Auto-Accept call ตั้งให้รับสายอัตโนมัติ เมื่อมีคนโทรเข้า แล้วเราดึงหูฟังออกจากเคส
  • Battery Protection Mode ชาร์จหูฟังให้ช้าลง และชาร์จไม่เต็ม 100% เพื่อยืดอายุของแบตเตอรี่ให้เสื่อมช้าลง ใครที่ไม่ได้ฟังเพลงต่อเนื่องยาว ๆ แบบต้องการฟังต่อเนื่องเต็มเหนี่ยว 7 ชั่วโมง ก็ควรเปิดโหมดนี้ครับ
อุปกรณ์ภายในกล่อง

สเปกด้านเสียง

สเปกของ Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 นั้นจัดเต็มแบบรุ่นท็อปครับ ไดรเวอร์เป็นแบบไดนามิกที่เรียกว่า TrueResponse ขนาด 7 mm รองรับความถี่เสียงตั้งแต่ 5 – 21,000 Hz ให้ความดังเสียงสูงสุด 107 dB

การเชื่อมต่อก็น่าสนใจเพราะรองรับ Bluetooth 5.1 Class 1 รองรับการเชื่อมต่อได้ไกล พร้อมรองรับ Multi-point คือเชื่อมต่ออุปกรณ์พร้อมกัน 2 ตัวแล้วสลับใช้ได้ทันที โดยไม่ต้องเชื่อมต่อใหม่ ที่สำคัญคือรองรับ Codec เยอะมากคือ SBC, AAC, aptX™, aptX™ Adaptive/Lossless และมาตรฐานใหม่ LC3 ทำให้รองรับการเชื่อมต่อเสียงให้ได้คุณภาพดีได้ง่าย และรองรับหลากหลายอุปกรณ์ ตามนี้

เมื่อใช้งานร่วมกับตัวแปลงสัญญาณ Sennheiser BTD 600 ที่เสียบจากช่อง USB-C ของ iPad ก็ทำให้ Sennheiser MTW 4 ใช้งาน aptX Adaptive ร่วมกับ iPad ได้
  • สำหรับผู้ใช้ iPhone จะเชื่อมต่อเป็น AAC ซึ่งให้คุณภาพเสียงดีพอตัว ดีกว่า SBC
  • ส่วนผู้ใช้ Android ทั่วไปก็ใช้ aptX ที่ให้คุณภาพเสียงระดับเดียวกับ AAC
  • แต่ถ้าใครใช้ Android รุ่นใหม่ ๆ บางตัว ก็สามารถเชื่อมต่อเป็น aptX Adaptive ที่รองรับเสียง Hi-Res หรือ aptX Lossless ที่ให้เสียงเท่า CD แบบไม่สูญเสียรายละเอียด
  • ซึ่งการที่รองรับ aptX เต็มสูบ ก็ทำให้ผู้ใช้สามารถหาซื้อ Dongle หรือจุ๊บ USB มาแปลงอุปกรณ์อื่น ๆ เช่น Mac, iPad, PC หรือ Android เองให้รองรับคุณภาพเสียงถึงระดับ aptX Adaptive ได้ไม่ยาก
  • นอกจากนี้การรองรับ LC3 ทำให้ใช้ฟีเจอร์ที่น่าจะนิยมในอนาคต อย่างการกระจายเสียงจากจุดเดียวถึงหูฟังหลาย ๆ ตัวพร้อมกันอย่าง Auracast ได้ด้วย

ลักษณะเสียงพร้อมเปรียบเทียบคู่แข่ง

เสียงของ Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 โดยรวมเป็นเสียงที่ balance ให้เสียงเบสกำลังสวย เสียงแหลมไม่ได้แหลมจนเสียดหู แต่ก็ยังให้รายละเอียดเสียงได้ดีด้วย

  • เสียงเบส ลูกขนาดกำลังพอดี ทำให้เพลงกลมกล่อม ไม่ใหญ่โตจนบวมไปรบกวนเสียงกลาง
  • เสียงกลาง-แหลม ถ่ายทอดเสียงร้องออกมาได้เป็นธรรมชาติ ไม่รู้สึกว่าถูกปรุงแต่งจนแปลกไป
  • เวทีเสียง กว้างขวาง แยกมิติเสียงรอบตัวได้ดี เห็นตำแหน่งเครื่องดนตรีได้ชัด

ส่วนความสามารถในการตัดเสียงรบกวนทำได้ในเกณฑ์ดีเลย ตัดเสียงได้ในระดับใกล้เคียงกับ Sony WF-1000XM5 ทำได้ แถมตัดเสียงในย่านกลางได้ดีกว่านิดหน่อยด้วย แต่ยังตามหลัง Devialet Gemini 2 อยู่นิดหน่อย ส่วนการดึงเสียงภายนอกทำได้ดี เป็นธรรมชาติเหมือนกับเวลาที่ไม่ได้ใส่หูฟังครับ

เทียบกับ Devialet Gemini II

Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 และ Devialet Gemini II

เสียงของ Gemini II นั้นโดดเด่นที่ย่านเบสครับ เป็นเบสธรรมชาติที่ไม่ได้ถูกบูสต์ให้มากกว่าปกติ เพียงแต่แสดงออกมาได้ชัด ซึ่งให้ความลึก ความสะใจของเบสมากกว่า MOMENTUM True Wireless 4 นอกจากนี้ยังให้เสียงได้ดังกว่าด้วย ด้วยสเปกของ Gemini 2 ที่ให้ความดัง 120 dB SPL ส่วนฝั่ง Sennheiser ดังที่ 107 dB SPL คือเปิดระดับเสียงครึ่งหลอดในไอโฟน จะดังเทียบเท่า Gemini 2 ที่เปิดราว 1/3 ของหลอด แต่ย่านเสียงกลาง-แหลมทำออกมาได้คล้ายกัน ให้เสียงโปร่ง มีรายละเอียดของเสียงดีทั้งคู่

Gemini II รองรับ Codec แค่ 3 ตัวคือ SBC, AAC และ aptX ซึ่งก็เพียงพอสำหรับการใช้งานทั่วไปแล้ว เพียงแต่ว่าไม่ได้รองรับ Codec คุณภาพระดับ Hi-Res เหมือนที่ MTW 4 รองรับ

ส่วนเรื่องแบตเตอรี่ ฝั่ง MOMENTUM True Wireless 4 ทำได้ดีกว่า ด้วยการใช้งานต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง เมื่อเปิด ANC และสูงสุด 30 ชั่วโมง เมื่อใช้ร่วมกับเคสชาร์จ ส่วน Gemini 2 เล่นเพลงได้ต่อเนื่อง 5 ชั่วโมง และสูงสุด 22 ชั่วโมงในเคสชาร์จ

โดยราคาของฝั่ง Sennheiser อยู่ที่ 11,890 บาท และ Devialet อยู่ที่ 16,590 บาทครับ

เทียบกับ Sony WF-1000XM5

Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 และ Sony WF-1000XM5

เสียงของ WF-1000XM5 นั้นให้ย่านเบสที่โอ่อ่า ฟังแล้วเป็นเบสที่ใหญ่กว่า เป็นเบสแบบแผ่ออก แต่ถ้าฟังต่อเนื่องจะรู้สึกว่าเบสของ MOMENTUM True Wireless 4 นั้นลงไปได้ลึกกว่า ก็เป็นความคล้ายที่มีความแตกต่างกันอยู่นิดหน่อย ซึ่งตามสเปกนั้น Sony ให้เบสได้ลึกที่ 20 Hz ส่วน Sennheiser กับ Devialet เบสลงไปลึกสุดที่ 5 Hz ส่วนย่านกลาง-แหลมที่มีรายละเอียดดี ค่ามาตรฐานให้ความใสมากกว่าฝั่ง MTW4 เล็กน้อย แต่ก็ถ่ายทอดเสียงร้องได้หวานจนน่าจะชอบได้ไม่ยากทั้งคู่ และเรื่องระดับเสียงนั้นทำได้ใกล้เคียงกัน โดย Sony ให้เสียงได้ดังมากกว่านิดหน่อย

ส่วนในเรื่อง Codec ที่รองรับ ฝั่ง Sony นั้นไม่รองรับ aptX ครับ โดยรองรับเป็น SBC, AAC, LC3 และ LDAC ของ Sony เอง ทำให้สามารถเล่นเสียง Hi-Res ได้ในสมาร์ตโฟน Android ส่วนใหญ่ เพราะระบบรองรับ LDAC อยู่แล้ว แตกต่างจาก aptX Adaptive ที่สมาร์ตโฟนรองรับน้อยกว่า

เรื่องแบตเตอรี่ Sony สามารถฟังต่อเนื่องได้ 8 ชั่วโมง และสูงสุด 24 ชั่วโมงผ่านเคสชาร์จ ซึ่งใกล้เคียงกับ Sennheiser ที่ฟังต่อเนื่อง 7 ชั่วโมง และสูงสุด 30 ชั่วโมงผ่านเคสชาร์จ

แต่ Sony WF-1000XM5 มีลักษณะการออกแบบพิเศษอยู่อย่างหนึ่ง คือจุกหูฟังนั้นเลือกใช้เป็นแบบโฟมแทนที่จะเป็นจุกหูฟังซิลิโคนเหมือนหูฟังทั่วไป ซึ่งจุกหูฟังแบบโฟมนั้นมีความสามารถในการบล็อกเสียงภายนอกได้ดีกว่า แต่ก็ใส่ยากกว่า และอายุการใช้งานสั้นกว่าจุกแบบซิลิโคนครับ

โดยราคาของ Sony WF-1000XM5 นั้นถูกที่สุดในหูฟัง 3 รุ่นที่เอามาเทียบครั้งนี้ โดยอยู่ที่ 10,990 บาท

ทดลองบันทึกเสียง

เกิดเป็นหูฟังยุคนี้ก็ต้องใช้ประโยชน์เพื่อคุยสายได้ดีด้วย เราจึงทดสอบอัดเสียงด้วยแอปฯ บันทึกเสียงใน iPhone พร้อมเปิดเสียงรบกวนไปด้วย ซึ่งหูฟังทั้ง 3 รุ่นได้เสียงออกมาแบบนี้ครับ

เสียงไมค์จาก Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4

เสียงไมค์จาก Sony WF-1000XM5

เสียงไมค์จาก Devialet Gemini II

เสียงไมค์จากทั้ง 3 รุ่นออกมามีจุดเด่น จุดอ่อนแตกต่างกันนะครับ ของ Sennheiser MTW 4 จะได้ย่านเสียงต่ำหน่อย ส่วน Sony จะได้เสียงกลม ๆ ค่อนข้างสมดุล ส่วน Devialet จะค่อนข้างเป็นเสียงโปร่ง ๆ แต่ก็ขาดย่านเสียงต่ำไปเหมือนกัน ยังไงลองฟังดูแล้วเลือกเสียงที่ชอบได้ครับ

แต่จุดหนึ่งที่ชอบเวลาใช้ MTW 4 คุยโทรศัพท์คือเราสามารถตั้งค่า เพื่อเปิดเสียงภายนอกเข้ามาระหว่างคุยสายได้ ทำให้เวลาสนทนาไม่อึดอัดเหมือนพูดในโอ่งแบบที่หลายคนเจอปัญหานี้เวลาใช้หูฟังแบบ ANC คุยสายครับ

ปัญหาแบตเตอรี่ยังมีไหม?

ที่ผ่านมา Sennheiser MOMENTUM True Wireless รุ่นที่ 1-3 นั้นมีข่าวหนาหูเรื่องเรื่องแบตเตอรี่มาตลอด จนในรุ่นที่ 4 นี้ Sennheiser ถึงกับให้ข้อมูลผู้ผลิตแบตเตอรี่ละเอียดมาก โดยตัวหูฟังใช้แบตเตอรี่จาก 2 ผู้ผลิต ส่วนเคสชาร์จก็ใช้แบตเตอรี่จากอีก 2 ผู้ผลิตเช่นกัน ซึ่งหูฟังรุ่นสีดำจะใช้แบตเตอรี่จากผู้ผลิตชุดที่ 1 ส่วนสีขาวและทองแดงจะใช้แบตเตอรี่จากผู้ผลิตชุดที่ 2 ครับ ซึ่งก็สร้างความโปร่งใสและติดตามปัญหาเรื่องแบตเตอรี่ได้ดีขึ้น

ส่วนในระยะยาว MTW 4 จะยังมีปัญหาแบตเตอรี่อยู่ไหม เราก็คงตอบตอนนี้ไม่ได้ แต่เท่าที่เราใช้มายาวนานเกือบ 2 เดือนนั้นยังไม่มีปัญหาอะไรครับ ส่วนในระยะยาวเราก็ไม่ประมาท โดยการเปิดฟีเจอร์ Battery Protection Mode เอาไว้ตลอดครับ

สรุปรีวิว

Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 ก็ยังคงความเนี้ยบเอาไว้ให้สมเป็นหูฟังไร้สายแบบ TWS เรือธงของแบรนด์เยอรมัน และปรับปรุงดีเทลต่าง ๆ ให้ลงตัวมากขึ้น เช่น จูนเสียงให้เบสกระชับกว่ารุ่นที่แล้ว ปรับปรุงการตัดเสียงรบกวนให้ดีขึ้น เพิ่ม codec ยุคใหม่ให้รองรับการใช้งานในอนาคต ใครที่ชอบแนวเสียงของ Sennheiser มาตลอด ก็ไม่น่าพลาดหูฟังรุ่นนี้

แม้ราคาของ Sennheiser MOMENTUM True Wireless 4 ที่ 11,890 บาท จะไม่ใช่ค่าตัวที่ถูก แต่เมื่อเทียบคุณภาพกับคู่แข่งในระดับราคาเดียวกันแล้ว ก็ถือว่าสมน้ำสมเนื้อครับ

สามารถหาซื้อได้ที่ Shopee, Lazada, Mercular