Our score
8.6

OPPO Reno12 5G | OPPO Reno12 Pro 5G

ผู้ท้าชิงวงการ AI Phone เจ้าใหม่ ที่ขอสู้ด้วยฟีเจอร์ AI ด้านการถ่ายภาพคน พร้อมกับราคาระดับกลางที่เข้าถึงได้ง่าย !

นี่คือ OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G สมาร์ตโฟนตระกูล Reno ประจำรอบปลายปี 2024 ครับ แม้ว่านี่จะเป็นสมาร์ตโฟนระดับกลาง แต่นี่คือ 'AI Phone' ที่ OPPO ขอมั่นหมายให้เป็น AI Phone ที่อยู่ในระดับราคาที่เข้าถึงได้มากกว่าเดิม ! แต่ในขณะเดียวกัน ก็ขอเป็นสมาร์ตโฟนที่สามารถถ่ายคนได้ดีมากไปด้วย จนเป็น 'The AI Portrait Expert' มาลองดูกันว่า นี่คือสมาร์ตโฟนที่คุ้มกับการก้าวเข้าสู่ยุค AI Phone ด้วยหรือไม่ ?

จุดเด่น

  1. ฟีเจอร์ AI โดยเฉพาะด้านภาพอัดแน่น ในเรตราคาที่ประหยัด
  2. กล้องถ่ายภาพมีการปรับมาใหม่ ทำให้สามารถถ่ายภาพทั้งคนและถ่ายภาพทั่วไปได้ดีขึ้นกว่าเดิมมาก
  3. ชิปเซตพัฒนามาเพื่อการใช้งานแบตเตอรี่ได้ดีมาก ๆ ทำให้แบตเตอรี่อึดมากขึ้น
  4. หน้าจอ (เฉพาะรุ่น Pro) เป็นหน้าจอแบนที่โค้งน้อยมาก ๆ จนเหมือนเป็นจอแบน
  5. ตัวเครื่องได้นำเอาดีไซน์คลาสสิคจากยุค Reno5, Reno6 มาพัฒนาต่อจนดูสวยงาม

จุดสังเกต

  1. ฟีเจอร์ AI หลายตัวต้องต่ออินเทอร์เน็ต และยังไม่รองรับภาษาไทย
  2. กล้องถ่ายภาพยังไม่สามารถถ่ายในสภาพแสงที่สว่างมาก ๆ หรือมืดจนเกินไปได้ดีนัก แถมรุ่น Reno12 5G ไม่มีกล้องถ่ายภาพบุคคลแยกด้วย
  3. ชิปเซตยังอยู่ในระดับที่ไม่เหมาะสมกับการเล่นเกมมากนัก
  4. มอเตอร์สั่นยังเป็นมอเตอร์แบบเดิม ไม่ใช่ Linear ฟีลลิ่งการพิมพ์อาจไม่ดีเท่าแบบ Linear
  5. พอร์ตที่ให้มายังเป็นพอร์ต USB-C 2.0 อยู่
  • หน้าจอ

    9.0

  • กล้อง

    8.5

  • แบตเตอรี่

    9.0

  • เสียง

    8.5

  • ประสิทธิภาพ

    8.0

  • ดีไซน์

    9.0

  • ความคุ้มค่า

    8.0

ผ่านเลยเวลามากว่าครึ่งปีแล้วครับ นั่นแปลว่าได้เวลาของ OPPO Reno Series รุ่นครึ่งปีหลังที่จะได้มาเฉิดฉายสู่ตลาดของบ้านเรากันแล้ว กับ OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G นั่นเอง ! ซึ่งแน่นอนครับ ขึ้นชื่อว่า OPPO Reno จุดเด่นของเขาจะต้องเน้นเรื่องการถ่ายภาพคนอยู่แล้ว แต่คราวนี้ OPPO ขอวางเดิมพันกับ AI ด้วย OPPO AI แบบเต็มขั้นดูบ้าง ! เดี๋ยวเรามาดูกันครับว่า OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G จะดีไหม คุ้มไหม และฟีเจอร์ AI ที่บอกว่าเต็มขั้นนี่มันทำอะไรได้บ้าง ?

สเปกภายในเครื่อง

สเปกของ OPPO Reno12 5G

  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz แบบโค้ง 3D ความละเอียด 2412 × 1080 (FHD+) สว่างสูงสุด 600 nits (HBM), 1,200 nits (Peak) ครอบทับด้วยกระจก Corning® Gorilla® Glass 7i
  • ชิปเซต MediaTek Dimensity 7300-Energy (4nm) รองรับ 5G
    • การ์ดจอ Mali-G615
  • หน่วยความจำขนาด 256GB หรือ 512GB UFS 2.2
  • RAM : 12GB LPDDR4X
  • กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบไปด้วย
    • กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8) เซนเซอร์ Sony LYTIA LYT600
    • กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f/2.2) 112 องศา เซนเซอร์ Sony IMX355
    • กล้องมาโคร ความละเอียด 2 ล้านพิกเซล (f/2.0) เซนเซอร์ OmniVision OV02B10
  • กล้องหน้าขนาด 32 ล้านพิกเซล (f/2.0) เซนเซอร์ GC32E
  • แบตเตอรี่ 5000 mAh พร้อมชาร์จไว 80W SUPERVOOC
  • ซอฟต์แวร์ ColorOS 14.1 (Based on Android 14)
  • การเชื่อมต่อ : รองรับ 5G ,WIFI 6 , Bluetooth 5.4, USB-C 2.0
  • ผ่านมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP65
  • น้ำหนัก 177 กรัม
  • มีสีให้เลือก 3 สี ได้แก่ สีเงิน Astro Silver, สีชมพู Sunset Pink และสีน้ำตาล Matte Brown 

สเปกของ OPPO Reno12 Pro 5G

  • หน้าจอ : AMOLED ขนาด 6.7 นิ้ว รีเฟรชเรต 120Hz แบบแบน ไร้ขอบ ความละเอียด 2412 × 1080 (FHD+) สว่างสูงสุด 600 nits (HBM), 1,200 nits (Peak) ครอบทับด้วยกระจก Corning® Gorilla® Glass Victus® 2
  • ชิปเซต MediaTek Dimensity 7300-Energy (4nm) รองรับ 5G
    • การ์ดจอ Mali-G615
  • หน่วยความจำขนาด 512GB UFS 2.2
  • RAM : 12GB LPDDR4X
  • กล้องหลัง 3 ตัว ประกอบไปด้วย
    • กล้องหลักความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/1.8) เซนเซอร์ Sony LYTIA LYT600
    • กล้องเลนส์ Ultra-Wide ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f/2.2) 112 องศา เซนเซอร์ Sony IMX355
    • กล้องถ่ายภาพซูม (Telephoto) ความละเอียด 50 ล้านพิกเซล (f/2.0) เซนเซอร์ S5KJN5
  • กล้องหน้าขนาด 50 ล้านพิกเซล (f/2.0) เซนเซอร์ S5KJN5
  • แบตเตอรี่ 5000 mAh พร้อมชาร์จไว 80W SUPERVOOC
  • ซอฟต์แวร์ ColorOS 14.1 (Based on Android 14)
  • การเชื่อมต่อ : รองรับ 5G ,WIFI 6 , Bluetooth 5.4, USB-C 2.0
  • ผ่านมาตรฐานการกันน้ำกันฝุ่น IP65
  • น้ำหนัก สี Nebula Silver 181 กรัม, สี Space Brown 180 กรัม
  • มีสีให้เลือก 2 สี ได้แก่ สีเงินเหลือบม่วง Nebula Silver และสีน้ำตาล Space Brown

ดีไซน์

หลังจากการเปลี่ยนผ่านด้านดีไซน์ของตัวเครื่องมาอย่างยาวนานกว่า 6 รุ่น ใน OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G ก็ได้มีการปรับดีไซน์ โดยขอกลับมาสู่การดีไซน์คลาสสิกจากยุคที่เรียกว่าเป็น ‘Reno Iconic Design’ จาก OPPO Reno5 และ Reno6 และได้นำดีไซน์ของตัวเครื่องในรุ่นพวกนั้นมาต่อยอดครับ ในทั้ง 2 รุ่นนี้ขอใช้ดีไซน์ที่ชื่อ ‘Futuristic Fluid’ บนฝาหลังครับ อธิบายง่าย ๆ ก็คือเป็นริ้วแบบคลื่นที่อยู่บนฝาหลัง แต่ยังมีการครอบทับด้วยกระจกแบบขัดด้านอีกรอบ เอาจริง ๆ ถือว่าเป็นการรีดีไซน์ใหม่ครั้งค่อนข้างใหญ่อยู่นะ เพราะแต่ก่อนก็ได้ใช้ดีไซน์ที่มีการเลือกทำอะไรใหม่ ๆ มาอยู่ตลอด แต่รุ่นนี้ ทาง OPPO เลือกที่จะออกไปเน้นทางเรียบหรูมากขึ้นกว่าเดิมแทนครับ เป็นดีไซน์ที่ดูโตขึ้น และดูแฟชั่นมากกว่าเดิมไปด้วยเลย

สีที่วางขายในไทยสำหรับรุ่น Reno12 5G ได้ให้มา 3 สีด้วยกันครับ จะมีสีที่เรารีวิวกันอยู่ อย่างสีเงิน Astro Silver ซึ่งเป็นสีเงินที่เพิ่มริ้วสวย ๆ ตามดีไซน์ Futuristic Fluid อย่างที่บอกไว้ แต่ก็ยังมีสีชมพู Sunset Pink ที่จะออกไปทางสีชมพูอมส้มคล้ายสีพีชแทน ซึ่งทาง OPPO เคลมว่าฝาหลังรุ่นนี้ ผลิตด้วยกระบวนการกราฟิกคริสตัลเหลวของ OPPO เพื่อให้ล้อไปกับสี Pantone ของปี 2024 อย่างสี Peach Fuzz นั่นเอง และยังมีสีน้ำตาล Matte Brown ที่จะขอแตกต่างไปอีกทาง เป็นสีน้ำตาลคล้าย ๆ สีโกโก้ แล้วขัดด้าน ออกคลาสสิกหน่อย ๆ แทน คือเป็น 3 สี 3 สไตล์เลยนั่นแหละ

ฝาหลังสีเงิน Astro Silver ของ OPPO Reno12 5G

ส่วนสีที่วางขายสำหรับรุ่น Reno12 Pro 5G นั้นให้มา 2 สี คือสีเงินเหลือบม่วง Nebula Silver ที่เป็นฝาหลังดีไซน์ Futuristic Fluid ออกไปทางสีเงิน แต่เติมเหลือบม่วง ๆ เข้าไปให้ดูแฟชั่นยิ่งกว่าเดิมไปอีก และสีน้ำตาล Space Brown ที่เป็นดีไซน์มันเงาแบบทูโทน ที่ได้แบ่งครึ่งออกเป็นสองส่วนด้วยริบบิ้นเมทัลลิก เข้ามาพาดในแนวนอนด้านหลังของตัวเครื่องด้วยนั่นเอง

ฝาหลังสีเงินเหลือบม่วง Nebula Silver ของ OPPO Reno12 Pro 5G

ทีนี้กลับไปดูที่คำว่า ‘Reno Iconic Design’ จากตอน Reno5 และ Reno6 ต่อ คือกรอบกล้องของรุ่นนี้เขาขอเรียงในรูปแบบที่ดูมินิมอลมากขึ้น วางกล้องแบบ 3 ตัวชัดเจนเหมือนสมัย Reno5 กับ Reno6 ไปเลย ซึ่งโดยรวมแล้วจะว่าเหมือนเดิมไหม ก็เหมือนจริง แต่จะมองว่าดูคลาสสิกได้ไหม ก็ได้เช่นกัน

ทั้ง OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G จะใช้กรอบกล้องในรูปแบบเดียวกัน

โดยส่วนตัวแล้ว ผู้เขียนแอบชอบสีที่รีวิวอยู่อย่างสี Astro Silver มากกว่านะ อย่างที่เคยบอกไว้ว่าเป็นดีไซน์ที่ค่อนข้างสวยงาม และดูหรูหรา ดูแฟชั่น ในขณะที่ยังดูไฮเทคไปด้วย พอมาถึงเวลาใช้จริงแล้วนั้น การจับถือของ OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G นั้นจะเด่นมาก ๆ ในด้านความบางของเขา คือถ้าเทียบกับในรุ่นที่แล้ว น้ำหนักของเครื่องและความบางของเครื่องนั้นน้อยลงไปอีก จากที่เดิมรู้สึกว่ามันเบาและบางแล้ว เอาจริง ๆ ถือใช้แล้วยิ่งรู้สึกว่ามันบางกว่าเดิมอีกครับ แต่ก็ใช่ว่าจะถือแล้วรู้สึกว่าถือยากนะ ซึ่งอย่างใน Reno12 Pro 5G นั้น แม้จะเป็นจอแบน แต่ขอบเครื่องก็ยังบางแบบรู้สึกได้ครับ ส่วน Reno12 5G นั้น ด้วยจอที่โค้งอยู่แล้ว ขอบเครื่องเลยดูบางกว่ารุ่น Reno12 Pro แต่รวม ๆ ความหนาเครื่องพอ ๆ กันนะ โดยส่วนตัวแล้วจะชอบการจับถือใน Reno12 Pro 5G มากกว่า เพราะจอไม่โค้งแล้ว โอกาสจะลั่นถือว่าน้อยกว่าพอสมควรเลย

รอบ ๆ เครื่องเรียกว่าเหมือนกับ OPPO Reno โดยทั่วไปครับ อย่างรูลำโพง, ไมโครโฟนตัดเสียงรบกวน และ IR Blaster ที่อยู่ด้านบน, ปุ่มเปิด-ปิด และปุ่มเพิ่ม-ลดเสียง อยู่ด้านขวาบน และไมโครโฟน, พอร์ต USB-C 2.0, ช่องใส่ซิม (2 ซิม หรือ 1 ซิม + เพิ่ม MicroSD Card ได้) และช่องลำโพงอยู่ที่ด้านล่างครับ ซึ่งการวางปุ่มและพอร์ตเหมือนกันทั้งใน Reno12 5G และ Reno12 Pro 5G นะ

ส่วนที่เพิ่มเข้ามาอีกอย่างคือความแข็งแรงของหน้าจอครับ เพราะปกติ OPPO มักจะให้หน้าจอที่ครอบทับด้วยกระจกทั่ว ๆ ไป แต่คราวนี้ทั้งใน Reno12 5G และ Reno12 Pro 5G ครอบทับด้วยกระจก Corning Gorilla Glass ทั้ง 2 รุ่นเลย อย่าง Reno12 5G ก็ใส่ Gorilla Glass 7i และ Reno12 Pro 5G ใส่เป็น Gorilla Glass Victus 2 ซึ่งเป็นกระจกเกรดเดียวกับสมาร์ตโฟนเรือธงเลยทีเดียว แล้วก็ยังมีเฟรมเครื่องเป็นโลหะผสมที่กันกระแทกมากกว่าเดิมด้วย

แต่ถ้าอยากจะให้ข้อสังเกตในด้านดีไซน์สักเล็กน้อย ก็เห็นจะเป็นเรื่องของมอเตอร์สั่นของตัวเครื่อง ที่แม้จะเป็นสมาร์ตโฟนที่เปิดตัวมาขายในช่วงปลายปี 2024 แล้ว ยังได้ใช้มอเตอร์สั่นแบบเดิม ไม่ได้ใช้มอเตอร์สั่นแบบ Linear (ทั้ง 2 รุ่นเลย) ทำให้ความรู้สึกในการพิมพ์ต่าง ๆ อาจจะยังรู้สึกแตกต่างจากสมาร์ตโฟนที่ใช้มอเตอร์สั่นแบบ Linear อยู่บ้าง

เข้าสู่ยุค ‘AI Phone’ ด้วย OPPO AI

ก่อนที่เราจะไปดูเรื่องของภาพถ่ายกัน ถ้าใครเคยได้อ่านรีวิว OPPO Reno11 F 5G ที่ผ่านมา ก็จะได้เห็นกันไปแล้วว่า OPPO ตอนนี้ เริ่มจะเอา AI มาใส่บ้างแล้วในฟีเจอร์ ‘ยางลบ AI’ ที่แค่เลือกจะวงกลมทับวัตถุ หรือระบายสีทับวัตถุ AI ของ OPPO ก็จะตัดสินใจในการครอบทับวัตถุนั้น ๆ แล้วลบออกไปได้เลยแบบอัตโนมัติ

แต่ใน OPPO Reno12 Series 5G ครั้งนี้ ฟีเจอร์ AI ของเขาเรียกได้ว่าจัดเต็มมาอย่างเข้มข้นกว่าใน Reno11 Series ที่ผ่านมามากอยู่ครับ ทั้งนี้ OPPO เขาเคยได้ประกาศมาแล้วว่า เขาขอเน้นเรื่องของ AI ในราคาที่เข้าถึงง่าย ใคร ๆ ก็เข้าถึงได้ หลังจากนี้เราจะขอเรียกฟีเจอร์เหล่านี้ว่าเป็น ‘OPPO AI’ นะครับ

จากการที่ผู้เขียนได้มีการพูดคุยกับทาง OPPO มา ฟีเจอร์ AI ที่ OPPO Reno12 Series 5G ใส่มานั้น จะเน้นเข้ามาแก้ปัญหาในสิ่งที่เราเคยเจอมาก่อนในเวลาที่เราใช้งาน โดยเฉพาะกับการถ่ายภาพ ซึ่งในหลาย ๆ ครั้ง เป็นสิ่งที่เราไม่สามารถแก้ได้ภายหลัง เพราะภาพถ่ายหลาย ๆ ภาพ เป็นภาพที่เราถ่ายได้แค่ครั้งเดียวจริง ๆ OPPO AI เลยเข้ามาแก้ปัญหาตรงนี้ด้วยฟีเจอร์ AI ที่แก้ด้านการถ่ายภาพต่าง ๆ มากมายเลย ประกอบไปด้วย

ให้การถ่ายภาพที่คนเยอะน่าจดจำกว่าเดิม ด้วยยางลบ AI 2.0

เคยประสบปัญหาเวลาเราเดินทางไปไหนมาไหน ไปถ่ายภาพสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียง แล้วปรากฏว่าถ่ายออกมาไม่สวย เพราะคนติดมาอยู่ในภาพกันเยอะ ฟีเจอร์ OPPO AI ใหม่ใน OPPO Reno12 Series 5G ก็คือ ‘ยางลบ AI 2.0’ ที่ตอนแรกเราสามารถวงกลมทับวัตถุ หรือระบายสีทับวัตถุ เพื่อให้ AI ลบของ หรือคนนั้น ๆ ออกไปได้แล้ว แต่ ยางลบ AI 2.0 ยังมีฟีเจอร์ใหม่ คือ ‘ลบบุคคล’ ที่แค่กดไป OPPO AI จะหาบุคคลที่อยู่ในพื้นหลัง ลากคลุมคนเหล่านั้น แล้วเราก็แค่กดลบทั้งหมด OPPO AI ก็จะลบคนในพื้นหลังนั้นออกไปทั้งหมดเลย !

นอกจากนั้น ฟีเจอร์ ยางลบ AI 2.0 ที่อัปเกรดมาใหม่นี้ยังได้มีการอัปเกรดการลบพื้นที่ที่มีขนาดใหญ่มากขึ้นในรูปภาพต่าง ๆ ผ่านการจดจำภาพที่ OPPO เคลมว่าแม่นยำที่ 98% เลย แล้วทาง OPPO ยังเคลมว่าการเอาภาพเข้าไป Process บน Cloud นั้นจะส่งขึ้นไปเฉพาะส่วนที่โดนคลุม เช้ารหัสข้อมูลทั้งตอนส่งและตอนรับกลับ แล้วพอประมวลผลเสร็จ ก็ลบข้อมูลออกจนหมดทันที เพื่อให้ปลอดภัยด้วย

จะมีเฉพาะจุดที่โดนครอบไว้อัตโนมัติเท่านั้น ที่จะถูกส่งไปประมวลผลบน Cloud

ฟีเจอร์นี้ถือว่าค่อนข้างโดดเด่นนะ เพราะการลบวัตถุที่ผลออกมาได้ค่อนข้างเนียนมากอยู่ ทำให้การถ่ายภาพแบบเน้นครีเอทีฟ สามารถทำได้แบบง่าย ๆ ด้วยการใช้ ยางลบ AI 2.0 นี้นี่แหละ (ลองดูคลิปสั้นที่เราทดลองฟีเจอร์นี้ให้ดูกันได้)

หลังจากลบแล้ว ก็ออกมาเท่แบบนี้เลย !

ถ่ายรูปรวมแล้วเพื่อนหลับตา AI Best Face แก้ได้

อีกฟีเจอร์ที่เหมือนจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ก็เป็นฟีเจอร์ที่มีประโยชน์ไม่น้อยเลย เช่น สมมติว่าเราถ่ายภาพกลุ่ม หรือเซลฟี่กับเพื่อน แล้วปรากฏว่าเพื่อนเราหลับตาอยู่ ! ฟีเจอร์ ‘AI Best Face’ นี้แหละจะแก้ไขให้ได้เลย แค่เรากดเข้ามาดูรูป กดที่รูปคนด้านบนขวา OPPO AI ก็จะเข้ามาที่เมนูแก้ไขภาพให้ได้เลย ทั้ง AI Best Face และ AI Clear Face ซึ่ง AI Best Face จะใช้ AIGC ในการหาคนที่หลับตาในภาพ แล้วแก้ไขให้กลับมาลืมตาเหมือนเดิมได้

ตัวอย่างความสามารถของ AI Best Face

Disclaimer : ทั้งนี้ ฟีเจอร์ AI Best Face ยังคงเป็นฟีเจอร์ที่ยังอยู่ในระหว่างการพัฒนา โดยจะเปิดให้อัปเดตโดยทั่วไปในเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้

ถ่ายภาพหมู่มาแล้วหน้าสั่น AI Clear Face ปรับให้ชัดได้

อีกฟีเจอร์ที่มาคู่กันกับ AI Best Face อย่าง ‘AI Clear Face’ ที่เวลาเราถ่ายภาพบุคคลแบบกลุ่มมา แล้วเพื่อน ๆ ของเราเกิดหน้าสั่นขึ้นมา (โดยเฉพาะจากการเซลฟี) ฟีเจอร์ AI Clear Face จะใช้ AIGC ในการตรวจจับใบหน้าคนทั้งหมดที่อยู่ในภาพ แล้วเจนภาพแก้ไขให้หน้าชัดกว่าเดิม โดย OPPO เคลมว่า สามารถแก้ไขพร้อมกันได้มากสุด 10 คน ในครั้งเดียว

ลองดูภาพก่อน และหลังปรับความชัดของภาพดูได้ครับ

ทั้งนี้ ฟีเจอร์ AI Best Face และ AI Clear Face เป็นฟีเจอร์ AI ที่จะประมวลผลในเครื่องล้วน ๆ โดยไม่มีการอัปโหลดอะไรขึ้นไปบน Cloud ทั้งสิ้นครับ โดยจะเป็นฟีเจอร์ที่จะเห็นใน OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G เท่านั้นเลย

AI Studio ให้ภาพบุคคลดูสนุกยิ่งกว่าเดิม

ถ้าผู้อ่านคุ้น ๆ กันอยู่บ้าง เดี๋ยวนี้แอปพลิเคชัน ‘แต่งภาพด้วย AI’ ได้ออกมาให้เราได้เล่นกันมากมาย OPPO ก็มีแอปพลิเคชันที่ทำมาเพื่อการแต่งภาพแนวนั้น ให้แต่งได้อย่างสนุกกว่าเดิมมาก ๆ ด้วย ‘AI Studio’ เล่าสั้น ๆ คือเป็นแอปพลิเคชันที่เราสามารถอัปโหลดภาพถ่ายของหน้าเราไป แล้วให้ AI แต่งภาพไปเป็นภาพบุคคลในธีมต่าง ๆ ทั้งสายสมจริง อย่างแต่งเป็นเจ้าบ่าว ใส่สูท ส่งไปอยู่ทะเล ไปจนถึงอัดแน่นด้านความแฟนตาซี เช่นแต่งแนวไซเบอร์พังก์ แต่งธีมจอมเวทฤดูหนาว หรือแฟนตาซี หรือไปทางจีนโบราณ และอื่น ๆ ได้อีก ! แถมใช่ว่าจะใส่รูปเดี่ยวได้อย่างเดียว แต่สามารถแต่งพร้อมกันได้เป็นคู่เลย !

ลองดูตัวอย่างภาพที่ผ่านการ Generate ด้วย AI Studio ชุดนี้กันดู

ทั้งนี้ แอปฯ นี้ใช้ระบบที่เหมือนกันกับแอปพลิเคชันแต่งภาพด้วย AI อื่น ๆ อยู่นะ เช่น การใช้ระบบหน่วยเงินเป็น ‘เพชร’ ในการสร้างภาพ ที่จะลดเพชรเราจากการสร้างภาพแต่ละครั้ง โดย AI Studio ของ OPPO นี้ จะใช้ 10 เพชรต่อการสร้างภาพ 1 ครั้ง (4 รูปแบบ) และ 1 OPPO ID จะได้เพชรมาใช้ในการเจนภาพนี้ที่คนละ 5,000 เพชร ที่อายุการใช้งาน 1 ปี

โดยในเริ่มต้น ทุกคนจะสามารถสร้างภาพได้ทั้งหมด 500 เซต และจะมีการเพิ่มเพชรเมื่อลงชื่อเข้าใช้ใหม่ในเวอร์ชันอัปเกรดในเดือนกรกฎาคมนี้ แถมในอนาคตก็จะมีโบนัสการล็อกอินเข้าไปในแอปฯ AI Studio ได้ทุกวัน วันละ 10 เพชรอีกด้วย ! นอกจากนั้น ในอนาคต OPPO บอกว่าจะมีวิธีการเพิ่มเพชรแบบอื่น ๆ ในอนาคตอีกด้วย เช่นการแชร์ภาพจาก AI นี้ลงบนโซเชียลมีเดียเพื่อแลกเพชรก็ได้เช่นกัน

จำนวนเพชรที่เหลือหลังลองเล่น AI Studio

AI Toolbox ตัวช่วยใช้งานให้ทำงานได้ง่ายกว่าเดิม

นอกจากเรื่องของ AI ที่ทำมาเพื่อใช้งานรูปภาพแล้ว ยังมี AI Toolbox ซึ่งเป็นฟีเจอร์ AI ที่เข้าได้ผ่าน ‘แถบด้านข้างอัจฉริยะ’ (ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วไม่ได้เปิดอยู่นะ) แล้วจะสามารถให้ AI (ผ่าน Google Gemini) เข้ามาช่วยให้การทำงานง่ายขึ้นกว่าเดิมได้ เช่น AI Writer ที่จะให้ AI เขียนในสไตล์ที่แตกต่างกันไปได้

หรือจะเป็น AI Speak และ AI Summary ที่จะให้ AI อ่านหน้าเว็บไซต์ทั้งหมดแล้วสรุปหน้าเว็บให้อ่าน หรือให้อ่านให้ฟังก็ได้ แต่ฟีเจอร์นี้ จะรองรับเฉพาะภาษาอังกฤษ และจีนก่อน แต่ด้วยการที่ตัวเครื่องใช้ Google Gemini คาดว่าจะรองรับภาษาอื่นในอนาคต รวมถึงภาษาไทย

สรุปการอัดเสียงต่าง ๆ ได้ด้วย AI Recording Summary

ฟีเจอร์ AI สุดท้ายที่ให้มาใน OPPO Reno12 Series 5G ก็คือ AI Recording Summary ครับ เรียกง่าย ๆ เลยก็คือ OPPO สามารถใช้ AI เพื่อสรุป และถอดข้อความที่พูดกันในการอัดเสียงก็ได้ แค่กดสรุป OPPO AI ก็จะเอาข้อความเสียงนี้มาถอดความและสรุปให้แบบง่าย ๆ เลย แต่ต้องให้ข้อสังเกตว่าฟีเจอร์เหล่านี้ ยังรองรับแค่ภาษาอังกฤษ​ ฮินดู และจีนเท่านั้นนะ

โดยรวม ๆ แล้ว ฟีเจอร์ AI ที่ให้มาใน OPPO Reno12 Series 5G นั้นได้ให้ฟีเจอร์มาเพิ่มเติมได้มากเลยทีเดียว แถมหลาย ๆ ฟีเจอร์ในนี้ ได้ให้มาเพิ่มในสมาร์ตโฟนที่อยู่ในเรตราคาที่เรียกว่าเป็นระดับกลางกันแล้ว ซึ่งก็สมกับที่ OPPO เคยบอกว่าจะให้ AI เป็นฟีเจอร์ที่เข้าถึงได้สำหรับทุกคนจริง ๆ AI ทุกอย่างที่อยู่ในรีวิวนี้ สามารถใช้ได้ในทั้ง OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G เลย แต่เกือบทุกฟีเจอร์ AI ในนี้ ยังต้องส่งขึ้นไปประมวลผลบน Cloud อยู่ เลยยังทำให้การจะใช้งาน OPPO AI ใน OPPO Reno12 Series 5G นี้อย่างเต็มที่ จึงจำเป็นจะต้องใช้อินเทอร์เน็ตในการทำงานอยู่นะ

กล้องถ่ายภาพ

ใคร ๆ ก็พอจะทราบกันแล้วในตอนนี้ว่า OPPO เขาเน้นสโลแกนว่าเป็น ‘The Portrait Expert’ มาอย่างยาวนาน ตั้งแต่สมัย OPPO Reno7 นู่นเลย และ Reno12 Series 5G นี้ก็ไม่แพ้กันเลย โดยในรุ่นนี้ขอปรับสู่ ‘The AI Portrait Expert’ คือจะเน้นทั้งการถ่ายภาพคน และ​ AI ในนั้นด้วยเลย ! เพราะอย่างที่เคยบอกไปแล้วว่า แม้การถ่ายภาพจะสวยแค่ไหน แต่ถ้าตอนถ่ายจริง เราทำได้แค่ครั้งเดียว การมี AI เข้ามาช่วยปรับให้ภาพถ่ายเราพร้อมนำไปใช้ จะทำให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพอใจมากกว่าเดิมแน่นอนเลย

ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนั้นได้ให้กล้องถ่ายภาพมาคล้ายกันมากครับ คือเลนส์หลักใช้เป็นเซนเซอร์ Sony LYTIA LYT600 ทั้งคู่ ให้กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากที่ 8 ล้านพิกเซลทั้งคู่ จะต่างก็ที่กล้องถ่ายภาพซูม 50 ล้านพิกเซล ที่จะมีแค่ในรุ่น Pro เท่านั้น แต่รุ่นเล็กให้มาเป็นกล้องถ่ายภาพมาโคร 2 ล้านพิกเซลแทนครับ โดยตำแหน่งการวางกล้องของทั้ง 2 รุ่นนั้นไม่เหมือนกันครับ

มาถึงจุดนี้แล้ว ขอขึ้นภาพที่ทุกคนรอคอยกันอยู่ อย่างภาพถ่ายบุคคล หรือ Portrait กันก่อนเลยดีกว่า

การถ่ายภาพถ่ายบุคคล

ถ้าคุณคิดว่า OPPO Reno11 Series นั้นถ่ายภาพคนได้เก่งแล้ว OPPO Reno12 Series 5G นั้นจะถ่ายภาพคนออกมาได้ดูดียิ่งกว่าเดิมอีกครับ เดี๋ยวขอเล่าทีละรุ่นกันไปเลยนะ โดย OPPO Reno12 5G นั้นสามารถถ่ายภาพบุคคลออกมาได้อย่างดีมากเลย โดยได้มีการปรับแต่งด้านสกินโทนให้ดูสวยงาม โดยไม่ได้เพิ่มความบิวตี้มากจนเกินไป (แต่ต้องปรับลดโหมดบิวตี้ที่เปิดเป็นค่าเริ่มต้นออกก่อนด้วยนะ !) ในขณะที่ยังเก็บความคมชัดในองค์รวมของทั้งหน้า เสื้อผ้า ไปจนถึงฉากหลังในจุดที่ยังควรชัดอยู่ (เช่นในภาพที่แบบพิงอยู่กับราวสะพาน) ในขณะที่ยังทำการเบลอฉากหลังได้ค่อนข้างเนียนตา แม้ตรงเส้นผมจะยังคงมีการหลุด ๆ อยู่บ้าง แต่ก็ไม่ได้มากจนเกินไปครับ ในขณะเดียวกัน ยังไม่ได้ทำสีให้ออกมาดูซีด ๆ เรียล ๆ แบบในรุ่นก่อนหน้าด้วย

โดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้วนั้น มองว่าเกิดจากการที่ OPPO ได้มีการปรับอัลกอริทึมในการถ่ายภาพบุคคลมาใหม่ครับ แล้วก็สามารถถ่ายได้ทั้งในระยะ 1x และ 2x เลย แต่ระยะ 2x (ที่ 52mm) นั้นจะมาจากการครอปภาพจากกล้องถ่ายภาพหลักแทนแล้ว เพราะในรุ่น Reno12 5G นั้นไม่ได้มีกล้องถ่ายภาพบุคคล (Telephoto) แยกมาโดยเฉพาะสำหรับรุ่นน้องแล้วนั่นเองครับ

ส่วนรุ่นพี่ Reno12 Pro 5G เองก็สามารถถ่ายได้ผลออกมาที่ใกล้เคียงกันมากอยู่นะ เพียงแต่ว่าถ้าใช้ระยะ 2x แล้ว จะมีการนำเอากล้องถ่ายภาพ Telephoto เข้ามาช่วยในการถ่ายภาพด้วย ภาพที่ออกมาเลยจะได้ระยะที่แตกต่างกันเหลือแค่ขนาดเทียบเท่าระยะเลนส์ 47mm เท่านั้น แต่คุณภาพของภาพบุคคลในภาพรวมนั้นก็ยังดูดีพอ ๆ กันเลยล่ะครับ

นอกจากนั้นยังคงสามารถใช้โหมด ‘Bokeh Flare Portrait’ โหมดที่จะเบลอหลังเข้มสะใจ เหมาะสำหรับใครที่อยากได้การเบลอหลังแบบสวย ๆ งาม ๆ ก็ยังคงเปิดมาให้เล่นได้เช่นเดียวกันเลย

การถ่ายภาพทั่วไป

ทีนี้กลับมาที่การถ่ายภาพโดยทั่ว ๆ ไปกันบ้าง ผู้เขียนมองว่าการถ่ายภาพโดยทั่วไปนั้นได้มีการปรับการประมวลผลการถ่ายภาพหลังบ้านเพิ่มเติมมาจากในรุ่นที่แล้วอยู่พอสมควรเลยครับ โดยได้ปรับสีของภาพให้เป็นอีกโทนหนึ่งเลย เดี๋ยวลองดูตัวอย่างภาพกันดูครับ (อย่าลืมกดดูภาพใหญ่ และเลื่อนดูภาพต่อ ๆ ไปด้วยนะ)

คือถ้ามองว่ารุ่นที่แล้วมีการปรับแต่งของภาพที่เรียกว่าน้อย ใน OPPO Reno12 5G ถือว่าได้จัดการปรับแต่งสีของภาพถ่ายได้อยู่ในระดับที่ดีเลยล่ะครับ คือไม่ได้ปล่อยให้ภาพออกมาสีจืด สีซีดเกินไป ในขณะที่ยังคงมีการปรับสีให้ดูสวยงามอยู่ด้วย แต่ไม่มากจนเกินไป ทำให้โดยส่วนตัวของผู้เขียนแล้วพอใจในคุณภาพของภาพถ่ายมากอยู่เหมือนกันครับ คือเหมาะกับการนำไปยกเครื่องถ่ายแล้วนำไปใช้มากขึ้นแล้ว แต่จะมีในบางภาพที่พอภาพเจอแสงเข้ามากเกินไปแล้วภาพจะติดซีดเล็กน้อย ซึ่งจะเป็นปัญหาที่เจอในบางสถานการณ์เท่านั้น

ส่วนใน OPPO Reno12 Pro 5G ด้วยความที่เป็นรุ่นที่ให้กล้องถ่ายภาพหลักมาด้วยเซนเซอร์ที่เหมือนกัน ทำให้ภาพที่ออกมาหลังจากผ่านการ Process แล้ว จะออกมาในโทนที่คล้ายกันนั่นเองล่ะครับ

นอกจากนั้นทั้งสองรุ่น ยังสามารถเปิดลายน้ำของภาพแบบกรอบ คือมีรายละเอียดของภาพอย่างละเอียดให้ได้ดู เช่นระยะของเลนส์ F-Stop ความเร็วชัตเตอร์ และ ISO ให้ได้ดูด้วย คือนอกจากจะแสดงตัวตนแล้ว ยังโชว์ความเป็นโปรได้เหมือนเดิมเลย

กล้องถ่ายภาพมุมกว้างมาก และการซูม

ส่วนการถ่ายภาพมุมกว้างมากนั้น ทั้ง 2 รุ่นมาพร้อมกับกล้องถ่ายภาพมุมกว้างมากขนาด 8 ล้านพิกเซล (เทียบเท่าระยะเลนส์ 16mm) ครับ ซึ่งด้วยความละเอียดของกล้องที่ต่างจากกล้องถ่ายภาพหลัก คุณภาพของภาพถ่ายที่ได้ก็เลยจะออกมาแตกต่างกับภาพที่ได้จากกล้องถ่ายภาพหลักนะ ซึ่งใน OPPO Reno12 Series 5G นี้ สามารถถ่ายภาพมุมกว้างมากออกมาได้สีที่ผ่านการ Process ออกมาได้ค่อนข้างดีเลยครับ แม้ว่าความคมชัดอาจจะไม่ได้มากเท่า แต่ในด้านความต่อเนื่องของสีสามารถทำออกมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวครับ โดยเฉพาะกับใน OPPO Reno12 5G ที่สีของทั้ง 2 ระยะนี้แทบจะเหมือนกันเลยทีเดียว ความต่อเนื่องของสีถือว่าทำได้ดีครับ ลองดูภาพเปรียบเทียบกันระหว่างภาพระยะ 1 เท่า และภาพถ่ายมุมกว้างมาก (ที่ระยะ 0.6 เท่า) นี้กันดูครับ

ส่วนในด้าน OPPO Reno12 Pro 5G เองก็ได้ใช้เซนเซอร์เดียวกัน ภาพถ่ายที่ได้มาก็เลยจะออกมาในรูปแบบที่คล้าย ๆ กันเลย

ทีนี้จุดที่จะแตกต่างเลย ก็จะเป็นการถ่ายภาพซูมนี่แหละครับ การถ่ายภาพซูมนั้น ใน OPPO Reno12 5G จะขาดกล้องถ่ายภาพซูมไป ทำให้การถ่ายภาพซูมจะสามารถถ่ายได้จากการครอปภาพจากกล้องถ่ายภาพหลักเท่านั้น โดยสามารถถ่ายได้สูงสุดที่ 10 เท่าครับ ซึ่งแม้ว่าจะมาจากการครอปภาพจากกล้องถ่ายภาพหลักเท่านั้น แต่ก็ยังสามารถประมวลผลภาพได้ค่อนข้างโอเคอยู่นะ ถ้าอยู่ในสภาพแสงที่ดี แต่ถ้าหวังผลให้ภาพนำไปใช้ได้เลย แนะนำให้ถ่ายที่ประมาณ 5 เท่าครับ (ในภาพด้านล่างคือภาพที่ระยะ 0.6 เท่า, 1 เท่า, 2 เท่า, 5 เท่า และ 10 เท่าตามลำดับ)

ส่วน OPPO Reno12 Pro 5G จะมีกล้องถ่ายภาพซูมแยกมาอีกกล้องหนึ่ง เป็นเซนเซอร์ของ Samsung (JN5) ครับ โดยตัวกล้องจะสามารถถ่ายได้ที่ระยะ 2x (เทียบเท่าระยะ 47 มิลลิเมตร) จากกล้องถ่ายภาพซูม เลยจะสามารถถ่ายภาพซูมได้สูงสุดที่ 20 เท่าแทนครับ และระยะหวังผลจะอยู่ที่ประมาณ 5-10 เท่าครับ หลังจากนั้นจะเริ่มมีอาการวุ้นบ้างเล็กน้อยนะ แต่กล้องถ่ายภาพซูมนี้จะเหมาะนำไปไว้ใช้เพื่อช่วยในการถ่ายภาพบุคคลมากกว่านะ (ในภาพด้านล่างคือภาพที่ระยะ 0.6 เท่า, 1 เท่า, 2 เท่า, 5 เท่า, 10 เท่า และ 20 เท่าตามลำดับ)

การถ่ายภาพกลางคืน

ส่วนการถ่ายภาพกลางคืนนั้น ยังสามารถถ่ายได้ทั้งผ่านโหมดกล้องถ่ายภาพธรรมดา และโหมดการถ่ายภาพกลางคืน โดยทั้ง 2 โหมด สามารถถ่ายภาพกลางคืนได้ไม่แตกต่างกันมากนักครับ แต่โดยรวม ๆ แล้ว จะเหมาะกับการถ่ายภาพวิวเมืองในเวลากลางคืน มากกว่าการนำเอา OPPO Reno12 Series 5G คู่นี้ไปถึงขั้นถ่ายดาวนะ ! ลองดูตัวอย่างภาพจาก OPPO Reno12 5G กันดู

ส่วนนี่คือภาพกลางคืนจาก OPPO Reno12 Pro 5G

เซลฟี

กล้องหน้าของทั้ง OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G นั้น จะอยู่ที่ด้านบนตรงกลางของเครื่องทั้งคู่ครับ โดยใน OPPO Reno12 5G จะเป็นกล้องความละเอียด 32 ล้านพิกเซล และ OPPO Reno12 Pro 5G จะมีความละเอียด 50 ล้านพิกเซลครับ

ส่วนคุณภาพการถ่ายภาพเซลฟีนั้น ทาง OPPO Reno12 5G สามารถถ่ายภาพเซลฟีออกมาได้ค่อนข้างสวยงามเลยทีเดียวครับ ข้อดีคือแม้จะเป็นการถ่ายเซลฟี ก็ยังมีการเบลอฉากหลังที่ทำได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แถมยังมีการปรับแต่งด้านภาพ และสีของภาพ ไปจนถึงการทำสีผิวต่าง ๆ ได้ค่อนข้างดีเลย ลองดูตัวอย่างภาพกันได้

ส่วนใน OPPO Reno12 Pro 5G นั้น ด้วยขนาดของเซนเซอร์ที่ให้ความละเอียดมามากกว่า ทำให้การถ่ายเซลฟีของรุ่นนี้ สามารถถ่ายออกมาได้ค่อนข้างชัดเลย แต่ในด้านของการทำสี การปรับแต่งภาพบุคคล ไปจนถึงการเบลอฉากหลังนั้น ถือว่ายังทำออกมาได้คล้ายคลึงกันกับใน Reno12 5G ไม่น้อยเลยครับ ตามภาพด้านล่างนี้เลย

หน้าจอ

หน้าจอของ OPPO Reno12 5G นั้น ให้หน้าจอเป็นหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.7 นิ้วแบบโค้ง 3D ที่ 120Hz ครับ ซึ่งเป็นหน้าจอแบบโค้งที่เราเห็นกันประจำในฝั่งของ OPPO Reno Series นี่แหละครับ โดยเป็นจอที่ให้คุณภาพของภาพที่ค่อนข้างดีเลยครับ แม้จะเป็นสมาร์ตโฟนที่อยู่ในเรตราคาหลักหมื่นต้น ๆ ก็ตาม แต่ก็ยังได้คุณภาพของภาพ และสีที่ดีอยู่เลยทีเดียว แถมยังรองรับ HDR10+ อีกด้วยนะ

ในขณะที่หน้าจอของ OPPO Reno12 Pro 5G จะแตกต่างออกไปเลย เพราะหน้าจอของรุ่นนี้เป็นหน้าจอแบน ที่ผ่านการออกแบบแบบ Quad Micro-curve คือเป็นหน้าจอที่เกือบจะโค้ง แต่เป็นจอแบนครับ ! แต่ส่วนที่โค้งจะลงไปเฉพาะขอบของจอเท่านั้น ส่วนของหน้าจอหลัก ๆ ยังเป็นจอแบนอยู่ โดยมีขนาดของหน้าจอขนาด 6.7 นิ้วเหมือนเดิม และยังเป็นหน้าจอ AMOLED 120Hz ที่รองรับ HDR10+ เหมือนเดิมเลย และคุณภาพหน้าจอก็ยังทำได้ดีเหมือนกันเลยด้วย

นอกจากนั้น ทั้ง 2 รุ่นยังรองรับ Splash Touch ซึ่งเป็นฟีเจอร์ในการป้องกันการทัชหน้าจอได้แบบปกติ แม้ตัวเครื่องจะมีหยดน้ำติดอยู่บนจอ หรือในวันฝนตกก็ตาม รวมไปถึงรองรับการเปิดโหมดการนอนที่จะใช้ซอฟต์แวร์ลดการแสดงแสงสีฟ้า และลดการกะพริบของหน้าจอ PWM ที่ 2160Hz ให้ตาของเราไม่ล้าเวลามองหน้าจอนาน ๆ ได้ด้วย

นอกจากนั้น OPPO Reno12 Series 5G ทั้ง 2 รุ่น ยังมีเซนเซอร์สแกนนิ้วแบบแสงใต้หน้าจอ ที่ตำแหน่งจะอยู่ด้านล่างของจอหน่อย แต่ยังเป็นตำแหน่งที่สามารถแสกนลายนิ้วมือได้ง่ายและดีเลย

สเปกภายในเครื่อง ประสิทธิภาพ และการเล่นเกม

สเปกภายในก็เป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในสมาร์ตโฟนเครื่องหนึ่งครับ แถมการที่สมาร์ตโฟนเครื่องไหนจะทำอะไรได้ ทั้งการเปิดหน้าจอ ถ่ายรูป เล่นโซเชียล ยันเล่นเกม สเปกภายในคือสิ่งที่ขับเคลื่อนตัวเครื่องให้ทำงานทั้งหมดได้เลย แล้วการทำอะไรก็ตาม ล้วนแล้วแต่ใช้พลังงานทั้งนั้น ซึ่งทั้ง OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G นั้น ใช้ชิปเซตภายในเครื่องเป็น MediaTek Dimensity 7300-Energy ครับ เป็นชิปเซตระดับกลางที่เพิ่งเปิดตัวมาใหม่ของทาง MediaTek เลยครับ แถมยังได้มีการร่วมมือกับทาง MediaTek เพื่อเน้นในด้านการประหยัดพลังงานโดยเฉพาะ ก็เลยออกมาเป็นรุ่น Energy เพื่อให้ใช้พลังงานได้ต่ำลงนั่นเอง

ส่วนสเปกอื่น ๆ นั้น ของ OPPO Reno12 5G จะวางขายอยู่ 2 ความจุ คือรุ่น 256GB และ 512GB ครับ แต่ทั้ง 2 รุ่นมีแรมเท่ากันที่ 12GB นะ ซึ่งอย่างที่เคยบอกมาว่า OPPO Reno Series มักจะออกแบบมาเพื่อเป็นสมาร์ตโฟนที่เหมาะจะเป็น ‘Everyday Phone’ ซึ่งในรุ่นนี้เองก็เช่นกัน เพราะเวลาใช้งานทั่ว ๆ ไป ก็ไม่เจอปัญหาอะไรใด ๆ เลย เล่นได้ลื่นไหลตลอด

ซึ่งจากการทดสอบวัดประสิทธิภาพ CPU ของ OPPO Reno12 5G ด้วย Geekbench 6.3 Multi Core จะอยู่ที่ 2,930 คะแนน และ Single Core ที่ 1039 คะแนนครับ แม้ว่าจะเป็นคะแนนที่ไม่ได้สูงมาก แต่เป็นคะแนนที่ค่อนข้างพอแล้วสำหรับการใช้งานในปัจจุบันนี้ ส่วนการทดสอบกราฟิกผ่าน 3DMark ชุด Wild Life Stress Test คะแนนสูงสุดจะอยู่ที่ 3,158 คะแนน และต่ำสุดที่ 3,106 คะแนน ความนิ่งของคะแนนอยู่ที่ 98.4% และอุณหภูมิสูงสุดอยู่ที่ 33 องศา เป็นตัวเลขที่ถือว่าโอเคเลยสำหรับสมาร์ตโฟนระดับกลางนี้ครับ

ส่วนการทดสอบเกมจริงด้วยเกม Genshin Impact ที่เราได้ปรับการตั้งค่าสูงสุด และปรับเฟรมเรตอยู่ที่ 60FPS ด้วย ตัวเครื่องแจ้งว่าสามารถเล่นได้ที่เฟรมเรตประมาณ 32-36 FPS โดยที่ตัวเครื่องไม่ได้เกิดความร้อนอะไรมากนักครับ ไม่ว่าจะเล่นแบบเดินในเมืองเฉย ๆ หรือจะตีมอนกดสเกลเยอะหรือน้อยแค่ไหนก็ตาม

ส่วน RoV สามารถปรับสุดทุกอย่าง และสามารถปรับเฟรมเรต 60FPS ได้ และเล่นได้แบบไม่มีปัญหาอะไรมากนักเลยครับ อาจจะมีเฟรมเรตลงมาแตะ 59 บ้างเล็กน้อย แต่ไม่ว่าจะเจอไฟท์เยอะหรือน้อยแค่ไหนก็ตามก็เล่นได้สบาย ๆ ครับ

ทั้งนี้ ประสิทธิภาพในภาพรวมของทั้ง OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G นั้นสามารถทำได้คล้ายคลึงกันเลยครับโดยรวม ๆ แล้ว แม้ในด้านการเล่นเกมอาจจะไม่ได้เป็นสมาร์ตโฟนที่เด่นมากนัก แต่ในด้านการใช้งานทั่วไปแล้วนั้น ทาง OPPO ได้จัดให้สามารถใช้งานได้แบบสบาย ๆ แน่นอน

นอกจากเรื่องของสเปกแล้ว ด้านการเชื่อมต่อก็ได้จัดเต็มเต็มที่เหมือนกันนะ อย่างเช่นฟีเจอร์ ‘AI LinkBoost’ ที่ทั้ง 2 รุ่นได้ใช้ให้การเชื่อมต่อเครือข่ายดีขึ้น ด้วยเสาอากาศ 9 เสา แบบ 360 องศา พร้อมกับใช้ AI ในการช่วยปรับการเชื่อมต่อให้เสถียรผ่านการสลับเครือข่ายที่ทำให้การเชื่อต่อเสถียรอยู่ตลอด ทำให้ OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G ผ่านใบรับรอง High Network Performance จาก TÜV Rheinland ว่าจับสัญญาณแม่นยำแน่นอนด้วย

อีกฟีเจอร์ที่เรียกได้ว่าค่อนข้างมีประโยชน์ในบางสถานการณ์เลย ก็คือ ‘BeaconLink’ ครับ BeaconLink เป็นฟีเจอร์การสื่อสารระหว่างอุปกรณ์ที่ OPPO เขาพัฒนาขึ้นมาเองครับ เพื่อให้สามารถโทรคุยด้วยเสียง โดยการใช้แค่ ‘Bluetooth’ เท่านั้น ทำให้สามารถโทรคุยหากันระหว่างอุปกรณ์ได้ แม้ในบริเวณนั้นจะไม่มีสัญญาณเลย หรือกระทั่งว่าอุปกรณ์ใด ๆ ไม่มีซิมเลยด้วยซ้ำก็ยังได้ ซึ่ง OPPO เคลมว่าสามารถใช้ได้ทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะอยู่บนเขา อยู่บนเครื่องบิน หรือกระทั่งพื้นที่ห่างไกล ความสามารถของฟีเจอร์นี้จะใกล้เคียงกับการใช้วิทยุสื่อสารเลย ได้ระยะสูงสุด 200 เมตรอีก ซึ่งจากที่ลองโทรข้ามกันไปมาระหว่าง Reno12 5G และ Reno12 Pro 5G มา ฟีเจอร์นี้สามารถทำงานได้ดีเลย ความชัดจะคล้าย ๆ กับการคุยกันผ่านการโทรในแอปพลิเคชันไลน์เลยครับ

แบตเตอรี่

แบตเตอรี่ของทั้ง OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G นั้นให้มาที่ 5000 mAh (Li-Po) ทั้งคู่ครับ แม้ว่าจะเป็นตัวเลขที่เป็นมาตรฐานของสมาร์ตโฟนในยุคปัจจุบันแล้ว แต่การที่แบตเตอรี่ยิ่งมีขนาดใหญ่ ขนาดและความหนาของเครื่องนั้นจะยิ่งมากไปด้วย แต่ที่ OPPO ทำออกมาน่าประทับใจก็คือการที่ตัวเครื่องใส่แบตเตอรี่ขนาด 5000 mAh นี้ได้ในขนาดเครื่องที่ค่อนข้างบางเลยทีเดียวครับ

ส่วนการใช้งานแบตเตอรี่นั้น ถือว่าทำออกมาน่าพอใจพอ ๆ กันกับขนาดเครื่องที่ทำได้เลยครับ คือเราได้ใช้งาน OPPO Reno12 5G ต่อเนื่องยาวนาน ตั้งแต่ 6 โมงเช้า ถึงเกือบ ๆ เที่ยงคืน (นั่นคือ 17 ชั่วโมงครึ่ง !) พร้อมกับ Screen On Time ประมาณ 5 ชั่วโมง 40 นาที แบบที่เปิด 5G ตลอดเวลา และใช้งานทั่วไปล้วน ๆ ไม่ได้เล่นเกมใด ๆ แบตเตอรี่ยังเหลืออีก 5% ครับ ถ้าเกิดว่าเราเอามาเปิดโหมดประหยัดพลังงาน มั่นใจได้ว่าจะยิ่งประหยัดพลังงานกว่านี้แน่นอนครับ ซึ่งถือว่าเป็นความสามารถในด้านการจัดการพลังงานของทั้งซอฟต์แวร์ และชิปเซต Dimensity 7300-Energy ได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว

ส่วนในด้านการชาร์จแบตเตอรี่กลับเข้ามาในเครื่องนั้น OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G ได้ให้การชาร์จเร็วมาที่ 80W SUPERVOOC ครับ ซึ่งจากการทดลองจับเวลาการชาร์จแบตเตอรี่ OPPO Reno12 5G กลับจาก 5% จนเต็ม 100% ได้ใช้เวลาไปแค่ประมาณ 49 นาทีเท่านั้นเลยครับ โดยในช่วงแรก ๆ แบตเตอรี่จะชาร์จเร็วมาก ๆ เหมาะกับการชาร์จแบตเตอรี่แบบเร่งด่วน หรือลืมชาร์จตอนนอน การเสียบชาร์จแบบเร็วนี้ จะช่วยให้พร้อมใช้งานได้เร็วแน่นอน

แม้ในภาพจะเป็น OPPO Reno12 Pro 5G แต่รุ่น Reno12 5G เองก็ชาร์จได้ 80W SUPERVOOC เหมือนกันนะ !

สรุปส่งท้าย

ถ้าใครมาถามผู้เขียนว่า OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G เครื่องนี้คุ้มค่าไหมที่จะซื้อ โดยรวม ๆ แล้ว ผมว่านี่คือสมาร์ตโฟนที่เก่งด้านการถ่ายภาพคนมากครับ การถ่ายภาพอื่น ๆ ก็ยังเก่งมาก ๆ เช่นกันนะ แต่ด้วยฟีเจอร์ด้านการถ่ายภาพที่เยอะในแบบฉบับของ OPPO แล้วเติมส่วนผสมพิเศษอย่างฟีเจอร์ AI ที่ดีมาก ๆ ทั้ง ยางลบ AI 2.0, AI Best Face, AI Clear Face และอื่น ๆ อีก ทำให้การเข้ามาของ OPPO Reno12 Series 5G นั้น เป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่ดีมาก ๆ จนสมชื่อสโลแกน ‘The AI Portrait Expert’ ที่เป็นทั้ง AI Expert และ Portrait Expert เลยครับ ถ้าอยากได้สมาร์ตโฟนสักรุ่นหนึ่งเพื่อเอามาใช้ถ่ายภาพดี ๆ หรือใช้งานทั่วไป ดีไซน์สวย แบตฯ อึด ๆ หน่อย ผู้เขียนว่า OPPO Reno12 5G และ OPPO Reno12 Pro 5G เป็นอีกรุ่นที่น่าสนใจมากเลยทีเดียว

OPPO Reno12 Series 5G เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยอยู่หลากหลายความจุด้วยกันครับ โดย

  • OPPO Reno12 5G ความจุ 12GB / 256GB เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยที่ 14,999 บาท
  • OPPO Reno12 5G ความจุ 12GB / 512GB เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยที่ 16,999 บาท
  • OPPO Reno12 Pro 5G ความจุ 12GB / 512GB เปิดราคาวางจำหน่ายในประเทศไทยที่ 19,999 บาท

โดยใครที่จองเครื่องตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน ถึง 31 กรกฏาคม 2567 นี้ จะได้รับของแถมมูลค่าสูงสุด 10,999 บาท เป็น

  1. OPPO E-VIP Card สิทธิการประกันจอเเตก จํานวน 1 ครั้ง ภายในระยะเวลา 1 ปี
    • การประกันจอเเตก รุ่น OPPO Reno12 Pro (CPH2629) มูลค่า 8,000 บาท
    • การประกันจอเเตก รุ่น OPPO Reno12 (CPH2625) มูลค่า 6,500 บาท
  2. OPPO AI Gift Box มูลค่า 2,999 บาท ประกอบด้วย ลําโพงบลูทูธ, กระเป๋าผ้า, แก้วนํ้าเปลี่ยนสี (เมื่อใส่นํ้าเย็น หรือ นํ้าเเข็ง) 

**ของสมนาคุณมีจํานวนจํากัด เฉพาะร้านค้าที่รวมรายการ**

OPPO AI Gift Box สำหรับ OPPO Reno12 Series 5G

ทั้งนี้ ใครที่สนใจ OPPO AI Phone เครื่องแรกอย่างจริงจังเครื่องนี้ สามารถตามไปซื้อ ไปจองกันได้ที่ร้านค้าตัวแทนจำหน่าย OPPO ทั่วประเทศ, OPPO Brand Shop ผู้ให้บริการเครือข่าย และ Online Official Store ของ OPPO ทั้ง Shopee และ Lazada ได้เลยครับ !